ถอดรหัสไทยกับการก้าวสู่ 'อุตสาหกรรมอวกาศ' ใต้ความพร้อมของ 'ภาคีอวกาศ'
ก้าวสำคัญของไทยในเวทีการพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศ! เพื่อพลิกโฉมประเทศไทยจาก “ผู้ซื้อ” เป็น “ผู้สร้าง” ใต้ศักยภาพที่มีกับกรอบการดำเนินงาน 5 ด้าน พร้อมแผนดำเนินงานของทั้ง 12 องค์กรไทย ผู้ซึ่งเป็นแนวหน้าในการพาประเทศก้าวสู่อุตสาหกรรมแห่งอนาคต
อย่างที่ทราบกันดีว่าทั้ง 12 หน่วยงาน จะมีบทบาทสนับสนุนการทำงานของ “ภาคีความร่วมมืออวกาศไทย” ภายใต้กรอบแนวทางการดำเนินงาน 5 ด้าน ดังนั้นกรุงเทพธุรกิจจึงสรุปดังนี้
- งานวิศวกรรม ได้แก่ การออกแบบและพัฒนาโครงสร้าง เครื่องมือ และกระบวนการผลิตสำหรับการสร้างดาวเทียม รวมถึงการประยุกต์ในสาขาที่เกี่ยวข้อง
- งานแอพพลิเคชั่น ได้แก่ การพัฒนาระบบให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้งาน เช่น การนำรูปภาพผ่านกระบวนการพิจารณาคุณลักษณะเฉพาะ ก่อนนำไปเผยแพร่สู่สาธารณะ
- งานวิจัยและพัฒนา ได้แก่ การคิดค้นหรือพิสูจน์เทคโนโลยีตามหลักวิทยาศาสตร์ เช่น การพัฒนาวงล้อปฏิกิริยาสำหรับใช้งานในอวกาศ การวิจัยอุปกรณ์วัดรังสีรอบโลก เป็นต้น
- งานสนับสนุนการศึกษา ได้แก่ การสร้างความรู้ ความเข้าใจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีอวกาศ เช่น การฝึกอบรมจัดกิจกรรมด้านเทคโนโลยีอวกาศ การสร้างแรงบันดาลใจให้แก่เยาวชน รวมทั้งการสื่อสารสู่สาธารณะ
- งานสนับสนุนอุตสาหกรรม ได้แก่ การสนับสนุนและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคอุตสาหกรรมยกระดับและพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการให้มีความสามารถทางด้านนวัตกรรมในอุตสาหกรรม
ทั้งนี้ สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) ได้รับมอบหมายให้เป็นหน่วยงานเลขานุการและศูนย์ประสานงานโครงการ
ลุยบิ๊กโปรเจ็คพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศ
ส่วน แผนดำเนินงาน ในช่วงปี พ.ศ. 2564-2570 กำหนดแผนสร้างดาวเทียมวิจัยวิทยาศาสตร์หลายดวง อาทิ TSC-Pathfinder ดาวเทียมดวงแรก ขนาด 80 กิโลกรัม เป็นดาวเทียมวงโคจรต่ำ ที่ส่งออกไปเพื่อโคจรรอบโลก มีอุปกรณ์ Payload สำหรับภารกิจสำรวจทรัพยากร กำหนดส่งขึ้นสู่อวกาศในปี พ.ศ. 2566
TSC-1 ดาวเทียม ขนาด 100 กิโลกรัม มีอุปกรณ์ Payload เป็นกล้องถ่ายภาพหลายช่วงคลื่น (Hyperspectral Imaging) สามารถบันทึกภาพและสเปกตรัมในช่วงคลื่นที่ตามองเห็น และอินฟราเรด คลื่นสั้นของผิวโลกไปพร้อมๆ กัน สำหรับภารกิจสำรวจทรัพยากร และสภาพอากาศ เป็นดาวเทียมวงโคจรต่ำ ที่ส่งออกไปเพื่อโคจร รอบโลก กำหนดส่งขึ้นสู่อวกาศในปี พ.ศ. 2568
TSC-PFT1 ดาวเทียมทดสอบเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องขนาด 12-24 กิโลกรัม ดาวเทียมนี้จะถูกปล่อยจากสถานีอวกาศนานาชาติ ที่ความสูงประมาณ 400 กิโลเมตร เพื่อทดสอบระบบคู่ขนาน (Dual System) ในระบบบัสของดาวเทียม และระบบการปล่อยสายอากาศ รวมถึงการปล่อยแผงโซลาร์เซลล์หลังจากถูกปล่อยออกจากสถานี-อวกาศนานาชาติ
TSC-PFT2 ดาวเทียมทดสอบเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง ขนาด 12-24 กิโลกรัม ดาวเทียนนี้จะถูกปล่อยจากสถานีอวกาศนานาชาติ ที่ความสูงประมาณ 400 กิโลเมตร เพื่อทดสอบระบบการรับ-ส่งสัญญาณในย่านความถี่ X-band ซึ่งเป็นความถี่หลักที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารระหว่างดาวเทียมและสถานีภาคพื้นดิน และทดสอบการเปลี่ยน วงโคจร สำหรับเตรียมความพร้อมสำหรับดาวเทียม TSC-2 ที่มีภารกิจสำรวจดวงจันทร์
TSC-2 ดาวเทียม ขนาดประมาณ 300 กิโลกรัม ใช้ประสบการณ์และเทคโนโลยีส่วนใหญ่จากการสร้าง TSC-1 เพิ่มเติมส่วนระบบขับดัน เพื่อให้ดาวเทียมสามารถโคจรรอบดวงจันทร์ มีอุปกรณ์ Payload สำหรับภารกิจสำรวจดวงจันทร์
อย่างไรก็ตาม การสร้างดาวเทียม TSC-2 เพื่อโคจรรอบดวงจันทร์ ยังต้องทดสอบเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องอีกมาก ได้แก่ การสื่อสารทางไกลในห้วงอวกาศ การเปลี่ยนและการเข้าวงโคจร ความทนทานต่อกัมมันตภาพรังสีของอุปกรณ์ไฟฟ้า การผสมผสานระบบความแม่นยำและประสิทธิภาพขั้นสูง การนำทางและการระบุตำแหน่งในห้วงอวกาศ ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่ต้องใช้ประสบการณ์และบทเรียนจาก TSC-Pathfinder และ TSC-1 เป็นบทเรียนในการดำเนินการ หากเราประสบความสำเร็จใน TSC-Pathfinder และ TSC-1 การต่อยอดไปสู่ TSC-2 ที่มีภารกิจโคจรรอบดวงจันทร์ จึงเป็นเรื่องที่มีความเป็นไปได้ สำหรับดาวเทียมดวงอื่นๆ หลังจากปี พ.ศ. 2570 จะมีการกำหนดภารกิจต่อไป
ทั้งนี้ในส่วนของ ความพร้อมของโครงการ: ในระยะแรกได้รับงบประมาณสนับสนุนจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคน และทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัยและการสร้างนวัตกรรม ทั้งนี้แต่ละหน่วยงานภาคีจะใช้โครงสร้างพื้นฐาน กำลังคน และงบประมาณที่มีอยู่ในการดำเนินโครงการ อาทิ
สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) ได้แก่ สถานีภาคพื้น สำหรับรับสัญญาณจากดาวเทียม THEOS-1 THEOS-2 และดาวเทียมในโครงการ TSC ทุกดวง ,อาคาร Assembly Intregration and Testing สำหรับทดสอบดาวเทียมที่มีน้ำหนักไม่เกิน 500 กิโลกรัม ,ทีมวิศวกรของ GISTDA จำนวน 20 คน ที่ผ่านการฝึกอบรม ณ University of Surrey ประเทศอังกฤษ
ดึงพาวเวอร์ก้าวสู่แอโรสเปซ
สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) ได้แก่ กล้องโทรทรรศน์วิทยุแห่งชาติ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 40 เมตร ,ห้องปฏิบัติการเมคาทรอนิกส์ ,ห้องปฏิบัติการขึ้นรูปชิ้นงานความละเอียดสูง ,ห้องปฏิบัติการทัศนศาสตร์และโฟโตนิกส์ เพื่อสร้างอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ต่างๆอาคารปฏิบัติการเทคโนโลยีขั้นสูง ,ทีมวิศวกรที่มีความเชี่ยวชาญด้านเมคาทรอนิกส์ ทัศนศาสตร์ฺ การขึ้นรูปชิ้นงานความละเอียดสูง ฯลฯ
สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) ได้แก่ ระบบทดสอบดาวเทียม เครื่องมือจำลองสภาวะแวดล้อมในอวกาศ เพื่อใช้ทดสอบอุปกรณ์ต่างๆ ของดาวเทียม ก่อนส่งขึ้นสู่อวกาศ
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้แก่ ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) ,ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) ,ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC)
สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) ได้แก่ แหล่งกำเนิดรังสีชนิดต่างๆ ที่สามารถรองรับการทดสอบวัสดุสำหรับประกอบและติดตั้งกับดาวเทียม ,อุปกรณ์ตรวจวัดและสอบเทียบรังสีชนิดต่างๆ ,ระบบ Plasma Linear Device เพื่อทดสอบวัสดุ ,ระบบตรวจสอบและวิเคราะห์พื้นผิวของวัสดุ อาทิเช่น เครื่อง AFM FE-SEM XRD เป็นต้น ,ระบบ Plasma Focus ซึ่งมีลักษณะการทำงานทางไฟฟ้าที่สอดคล้องกับระบบขับดันชนิดที่ใช้เชื้อเพลิงแข็ง
นอกจากนี้ในมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่ร่วมในภาคียังมีทั้งโครงสร้างพื้นฐาน ห้องปฏิบัติการ คณาจารย์ที่มีความเชี่ยวชาญ และนักศึกษาที่สนใจ ที่สามารถสนับสนุนการดำเนินโครงการได้ อาทิ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ มีสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ มีห้องปฏิบัติการที่ศึกษาวิจัยด้านดาวเทียม มีประสบการณ์การสร้างดาวเทียม CubeSat มหาวิทยาลัยมหิดล มีคณาจารย์ที่เชี่ยวชาญการศึกษาวิจัยด้าน Space Weather มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มีสถานีรับสัญญาณดาวเทียมจุฬาภรณ์ ฯลฯ
ในระยะต่อไปส่วนหลักการออกแบบ และผลิตดาวเทียม ที่ประกอบด้วย 2 ส่วน ได้แก่ Bus จะดำเนินการ ณ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) ส่วน Payload และอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์อื่นๆ จะดำเนินการ ณ สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน)
ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพ และความพร้อมของประเทศไทยในการเข้าสู่วงโคจรของอุตสาหกรรมอวกาศอย่างเป็นรูปธรรม ภายใต้องค์ความรู้ และเทคโนโลยีที่มีอยู่ในมือ ซึ่งจะสามารถสานต่อสู่การพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศในอนาคตได้อย่างแน่นอน ซึ่งสิ่งสำคัญที่นอกเหนือจากการส่งยานอวกาศไปโคจรรอบดวงจันทร์แล้วนั้น จะเป็นการพัฒนาศักยภาพและกำลังคนของไทย ให้สามารถพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมขั้นสูง หรือ ที่เรียกว่า 'ดีพเทค' ให้เป็นที่ประจักษ์ได้เป็นอย่างดี โดยทั้งหมดนี้จะทำให้ 'ไทย' ก้าวสู่การเป็นประเทศหนึ่งที่มีดีไม่แพ้ชาติใดในโลก จนสามารถเปลี่ยนนิยามจากคำว่า 'ผู้ซื้อ' สู่ 'ผู้สร้าง' ได้อย่างเต็มภาคภูมิ