ปังมากแม่! 'คุณแม่สายอินโน' นวัตกรผู้รังสรรค์งานนอกบ้านผ่านแรงบันดาลใจ
บทบาทของคุณแม่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่แค่เลี้ยงลูก ทำอาหาร และดูแลคนในครอบครัวอีกต่อไปแล้ว เพราะความเก่งและบทบาทของคุณแม่กับการเป็น "นวัตกร ผู้พัฒนานวัตกรรม" ที่ได้แรงบันดาลใจจากการดูแลคนในบ้านสู่การสร้างสรรค์นวัตกรรมตอบโจทย์วิถีชีวิตของคนในสังคม
เนื่องในเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นเดือนแห่งวันแม่ "สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ(องค์การมหาชน) หรือ เอ็นไอเอ" ในฐานะหน่วยงานส่งเสริมและสนับสนุนการสร้างสรรค์นวัตกรรมจึงอยากพาทุกคนไปพบกับอีกหนึ่งบทบาทของคุณแม่กับการเป็น "นวัตกร ผู้พัฒนานวัตกรรม" ที่ตอกย้ำบทบาทของความเป็น "แม่" ที่สามารถเป็นผู้นำได้ดีเลยทีเดียว
คู่แม่ลูกผู้แบ่งปัน "การได้ยิน" เพื่อคนพิการ
เริ่มกันที่คุณแม่คนแรกอย่าง นางนิชาพร วาฤทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินฟินิท เอ็กซ์ จำกัด คุณแม่นักพัฒนานวัตกรรมที่ลุกขึ้นมาสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อผู้ด้อยโอกาสที่มีภาวะบกพร่องทางด้านการได้ยินผ่านนวัตกรรมหูฟังสำหรับผู้พิการ โดยได้เล่าว่า แรงบันดาลใจในการพัฒนานวัตกรรมเพื่อผู้ที่มีความบกพร่องทางการได้ยินมีจุดเริ่มต้นมาจากขณะที่ตนกำลังนั่งดูซีรีส์ และลูกชายกำลังนั่งเล่นกีต้าร์ไฟฟ้าอยู่ใกล้ๆ แต่ด้วยความที่กีต้าร์ไม่ได้ต่อเครื่องขยายเสียง เขาจึงต้องก้มหน้าไปใกล้ๆตัวกีตาร์ และเมื่อคางของเขาไปแตะตัวกีต้าร์โดยบังเอิญหลังจากนั้นลูกก็บอกว่า มีเสียงมันก็เข้าไปตรงนี้ แล้วก็ได้ยินชัด
หากเอาปรากฏการ์ณนี้ไปทำเครื่องช่วยฟัง ให้คนพิการได้ยินจากคางขึ้นไปน่าจะดี หลังจากการหาข้อมูลและทำเครื่องช่วยฟังได้สำเร็จ คุณแม่จึงได้พาลูกไปทดสอบเครื่องช่วยฟังกับโรงเรียนโสตศึกษาอนุสารสุนทร โดยใช้สิ่งที่ลูกประดิษฐ์ขึ้นมา และพบว่าได้ผลทำให้ผู้พิการทางการได้ยินในโรงเรียนได้ยินเสียงดีขึ้น หลังจากนั้นตนจึงเริ่มมองหาหน่วยงานที่สนับสนุนองค์ความรู้และทุนเพื่อพัฒนานวัตกรรมให้แก่ผู้พิการทางการได้ยิน เพราะปัจจุบันผู้พิการทางการได้ยินในประเทศไทยมีจำนวนมาก
ซึ่งมีจำนวนผู้พิการทางการได้ยินมากเป็นอันดับ 2 (ข้อมูลจากกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์) และเพื่อให้พวกเขามีโอกาสที่จะได้ยินเสียงเหมือนคนทั่วไป ดังนั้นทางครอบครัวจึงได้คิดทำโครงการเอียซ์: หูฟังนวัตกรรมเพื่อผู้ด้อยโอกาสทางการได้ยิน เป็นการพัฒนาหูฟังให้กลายเป็นอุปกรณ์ช่วยฟังพร้อมอุปกรณ์รับสัญญาณสำหรับผู้บกพร่องทางการได้ยินประเภทหูตึงและหูหนวกแบบไม่ถาวร โดยมีรูปแบบการทำงานผ่านหลักการส่งเคลื่อนเสียงผ่านกระดูกสันหลังของหู
นอกจากนี้บริษัทยังพัฒนาหูฟังสำหรับผู้บกพร่องทางการได้ยินได้สามารถเชื่อมต่อบลูทูธกับอุปกรณ์อื่น ๆ อาทิ โทรทัศน์ โทรศัพท์ เพื่อเปิดโอกาสให้พวกเขาได้เชื่อมต่อกับโลกภายนอกได้ด้วย ทั้งนี้จากการทดสอบผลิตภัณฑ์กับผู้พิการในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่พบว่ากว่า 90 % สามารถได้ยินเสียงของตัวเอง
"อุปกรณ์ของทางบริษัทที่พัฒนาขึ้นมาจะช่วยให้ผู้ที่มีสภาวะบกพร่องทางการได้ยินมีโอกาสเข้าถึงนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีได้ในราคาที่ต่ำและมีคุณภาพที่เหมาะสม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของพวกเขา นอกจากการได้ช่วยเหลือผู้อื่นแล้วโครงการดังกล่าวยังทำให้ลูกของตนมองเห็นปัญหาที่ชัดเจนมากขึ้นและได้ต่อยอดนวัตกรรมดี ๆ ที่จะทำให้ผู้พิการสามารถใช้ชีวิตได้เท่าคนปกติ และช่วยให้คุณภาพชีวิตของคนพิการดีขึ้น" นางนิชาพร กล่าว
สมุดพกอิเล็กทรอนิกส์นวัตกรรม
ถัดมาที่ พุทธชาติ ขันต้นธง กรรมการผู้จัดการบริษัท 360 เทรนนิ่ง จำกัด อีกหนึ่งคุณแม่ที่อยากนำเทคโนโลยีเข้ามาพัฒนาศักยภาพนักเรียนไทย และลดความกังวลใจให้บรรดาผู้ปกครองที่มีความกังวลเกี่ยวกับอนาคตของลูกด้วยนวัตกรรม E-Lift: สมุดพกอิเล็กทรอนิกส์ โดยดร.พุทธชาติ เล่าว่า ที่ผ่านมาจากการเก็บข้อมูลพบว่า ปัจจุบันการประเมินผลการเรียนการสอนของระบบการศึกษาไทย เป็นการประเมินตามหลักสูตรแกนกลาง และแนวทางการวัดผลเพื่อให้โรงเรียนได้ปรับหลักสูตรให้เหมาะสมกับการเรียนการสอนโรงเรียนแต่ละแห่ง
แต่โรงเรียนยังขาดขั้นตอนในการติดตาม การวัด และประเมินผลที่ครอบคลุมกับทักษะในด้านต่าง ๆ ของนักเรียน ส่งผลให้ที่ผ่านมาผลคะแนนการสอบ O-NET และคะแนนการสอบตามโปรแกรมประเมินสมรรถนะนักเรียนตามมาตรฐานสากล (PISA) ของโรงเรียนในประเทศไทยต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน ดังนั้น บริษัทจึงได้พัฒนาแพลตฟอร์ม E-Lift: สมุดพกอิเล็กทรอนิกส์ โดยระบบจะทำการประเมินความถนัดทางทักษะ softskill และวิชาการ
พร้อมทั้งสร้างชุดแบบฝึกหัดเพื่อการเรียนรู้จากระดับความสามารถของเด็กเป็นรายบุคคลทำให้ผู้เรียนสนุกกับการเรียนรู้ และไม่รู้สึกว่าเป็นการเรียนที่ยากจนเกินไป นอกจากนี้ ระบบยังมีการแข่งขันและมอบรางวัลให้กับเด็กที่เข้าไปเล่นเกม เพื่อสร้างทัศนคติที่ดีต่อการเรียนรู้ของเด็ก โดยที่ผ่านมาได้มีการทดลองใช้ระบบดังกล่าวกับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ในรายวิชาคณิตศาสตร์ พบว่า ระบบช่วยพัฒนาการเรียนรู้ของเด็กให้เพิ่มขึ้นจากเดิมได้มากถึงร้อยละ 20 ลดระยะเวลาในการทำข้อมูลเพื่อประเมินผลของครูลงได้ถึงร้อยละ 80 และยังช่วยลดภาวะความเครียดและความคาดหวังของผู้ปกครอง รวมถึงลดปัญหาจิตวิทยาในวัยเรียน
"ด้วยความที่อยากสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ที่ดีและมีมาตรฐานให้แก่เด็กไทย โดยให้พวกเขาค้นหาความสามารถตัวเองได้ แบบไม่ต้องลองผิดลองถูก มีความสุขในการเรียนรู้ สร้างทัศนคติที่ดีต่อการเรียนรู้อย่างยั่งยืน รวมถึงการส่งเสริมให้เด็ก มีความมั่นใจในตัวเองเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ยังอยากช่วยลดความกังวลให้ผู้ปกครองที่ต้องส่งลูกไปเรียนและคาดหวังว่าอนาคตต่อไปลูกจะเติบโตไปอย่างไร เพราะแพลตฟอร์มที่ทำขึ้นมานอกจากจะช่วยให้เด็กค้นหาตัวเองเจอเร็วขึ้นแล้ว ยังสามารถเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างโรงเรียน และผู้ปกครอง ทำให้ผู้ปกครองเข้าใจและรู้ว่าลูกต้องการเติบโตไปอย่างไรด้วย " พุทธชาติ กล่าว
เปิดเรียนอย่างปลอดภัยกับแอปฯ ชนะปัญหารถติด
และคุณแม่คนเก่งคนสุดท้าย นางอัมภาพัตร ฉมารัตน์ ผู้ร่วมพัฒนา "คิดส์อัพ" แอปพลิเคชันแก้ปัญหาจราจรหน้าโรงเรียนแบบยั่งยืน จาก บริษัท อาร์ติคูลัส จํากัด เล่าว่า แนวคิดการทำแอปพลิเคชันนี้ เริ่มต้นมาจากการที่ต้องขับรถไปส่งลูกที่โรงเรียนเป็นประจำทุกวัน ซึ่งมักจะพบปัญหาการจราจรติดขัดหน้าโรงเรียนเสมอ โดยปัญหาดังกล่าวไม่ได้กระทบแค่การเดินทางเท่านั้น แต่ยังกระทบไปถึงสุขภาพของเด็กด้วย เพราะการที่รถติดสะสมเป็นเวลานานมักจะมีมลพิษตามมาอยู่แล้ว
ตนในฐานะแม่เกิดความกังวลและเป็นห่วงเด็ก ๆ ค่อนข้างมาก จึงได้ปรึกษากับทีมว่าเราจะสามารถนำเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมเข้ามาแก้ปัญหาการจราจรติดขัดหน้าโรงเรียนได้อย่างไร จากนั้นจึงได้เริ่มต้นทำแอปพลิเคชันคิดส์อัพขึ้น เพื่อให้ผู้ปกครองสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน และเข้าไปใช้งานก่อนที่จะเดินทางไปรับลูกที่โรงเรียน
โดยหลังจากที่ผู้ปกครองเริ่มกดแอปพลิเคชัน แอปฯ ก็จะทำการแจ้งเตือนไปยังนักเรียนและโรงเรียนทันที และระหว่างเดินทางแอปพลิเคชันจะรู้ตําแหน่งของผู้ปกครองผ่านจีพีเอส และการคํานวณเวลาเดินทางผ่านระบบข้อมูลการจราจร (real time traffic information) เมื่อนักเรียนทราบเวลาที่คาดว่าผู้ปกครองจะมาถึงโรงเรียนก็จะเตรียมพร้อมก่อนทำให้ผู้ปกครองไม่ต้องจอดรถรอลูกนานเหมือนที่ผ่านมา
"ตนอยากเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสรรค์นวัตกรรม หรือเทคโนโลยีที่จะเข้ามาช่วยให้เด็ก ๆ มีความปลอดภัยในชีวิตมากขึ้น และยังช่วยแก้ปัญหาการจราจรให้กับสังคมได้อีกด้วย โดยเฉพาะการจราจรติดขัดหน้าโรงเรียน ดังนั้น ตนจึงอยากให้แอปพลิเคชันคิดส์อัพเป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์มที่จะเข้ามาช่วยสร้างแก้ปัญหาไปพร้อม ๆ กับการสร้างวินัยให้คนในสังคมร่วมด้วย" นางอัมภาพัตร กล่าวทิ้งท้าย
ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นถึง "พลังของคุณแม่" ที่ล้วนยิ่งใหญ่และมีความหมายเสมอ โดยเฉพาะพลังทางความคิด การลงมือทำ เพราะขึ้นชื่อว่าเป็นเพศแม่ ย่อมคิดและทำทุกอย่างด้วยความใส่ใจ และคุณแม่คนไทยก็เก่งไม่แพ้คนชาติอื่นจริง ๆ