"ไฮด์แอนด์ซีค" นวัตกรรมทรายแมวจากมันฯ เป็นมิตรต่อแมวผู้กลบ ทาสผู้เก็บ
แน่นอนว่าไอเทมที่บรรดาทาสแมวต้องมีติดบ้าน และขาดไม่ได้คือ “ทรายแมว” เนื่องจากเป็นตัวช่วยชั้นยอดให้เจ้าเหมียวมีที่ขับถ่ายอย่างถูกสุขลักษณะ แถมยังช่วยทุ่นแรงให้กับเหล่าบรรดาทาสผู้เลี้ยงอีกด้วย จึงทำให้ทรายแมวกลายเป็นสินค้ายอดฮิตที่ผู้เลี้ยงแมวไม่เคยมองข้าม
ซึ่งที่ผ่านมากรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ “DITP” กระทรวงพาณิชย์ ได้มีการเปิดเผยว่าตลาดผลิตภัณฑ์สัตว์เลี้ยงในรัสเซียเติบโตสูง คาดว่าจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 5% และมีมูลค่าสูงถึง 360 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2566 และประเทศไทยเองก็มีศักยภาพในการส่งออกทรายแมวไปรัสเซียได้ เพราะตลาดรัสเซียยังมีความต้องการสูง
ด้วยโอกาสทางการตลาดนี้ได้จุดประกายให้ 3 อดีตศิษย์เก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย “อภินันท์ มหาศักดิ์สวัสดิ์” “ดร.ลัญจกร อมรกิจบำรุง” และ “วัฒนพร ตั้งสง่า” รวมตัวก่อร่างสร้างธุรกิจภายใต้ชื่อ “Hide & Seek” (ไฮด์แอนด์ซีค) ทรายแมวธรรมชาติที่ทำมาจากมันสำปะหลัง
บุกตลาดทรายแมว
อภินันท์ มหาศักดิ์สวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เวลตี้ ม็อกกี้ อินโนเวชั่น จำกัด เผยว่า ตนและเพื่อนได้มองเห็นลู่ทางของตลาดทรายแมวที่กำลังเติบโตและเป็นโอกาสทองในการส่งออกของประเทศไทย ซึ่งจากการที่ตนได้มีประสบการณ์การเลี้ยงแมวด้วยแล้วนั้น จึงหันกลับมามองว่า “ทรายแมว” ในท้องตลาดส่วนใหญ่นำเข้าจากต่างประเทศ และแทบไม่มีผู้ประกอบการรายใดส่งออก จึงมีแนวคิดที่จะพัฒนาทรายแมวขึ้น โดยการคัดสรรวัตถุดิบก็พบว่าประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม มีทรัพยากรทางธรรมชาติ พืชผลทางการเกษตรจำนวนมาก ดังนั้นทรายแมวที่เติบโตได้ในอนาคตและปลอดภัยต่อแมวจะต้องเป็นกลุ่มที่ทำจากพืชผลทางการเกษตร
ถูกใจคนเลี้ยง-เจ้าเหมียวตัวโปรด
จึงจุดประกายไอเดีย พร้อมกับผลักดันให้เกิดการศึกษาเพื่อที่จะผลิตทรายแมวใช้ในประเทศ ลดการนำเข้า และสามารถส่งออกได้ จนในที่สุดก็พบว่าส่วนประกอบของทรายแมวที่ดีต่อสุขภาพ มี3 ส่วนหลักคือ แป้ง เส้นใยธรรมชาติ และสารที่ทำให้เกิดความเหนียว ซึ่ง “มันสำปะหลัง" มีคุณสมบัติตรงตามที่ต้องการ
เนื่องจากมันสำปะหลังมีแป้งและมีเส้นใยธรรมชาติในตัวเอง ขาดเพียงสารที่ทำให้เกิดความเหนียวหรือจับเป็นก้อน อีกทั้งประเทศไทยมีอัตราการผลิตมันสำปะหลังสูงเป็นอันดับ 2 ของโลก และมีอัตราการส่งออกมันสำปะหลังสูงเป็นอันดับ 1 ของโลก แต่ในทางกลับกันราคามันสำปะหลังกลับถูกกดราคาอย่างต่อเนื่อง เพราะไม่สามารถเพิ่มมูลค่าของสินค้าเกษตรได้ จึงได้นำมันสำปะหลังมาผ่านการให้ความร้อนและความดันที่เหมาะสม ทำให้เกิดกระบวนการ Pregelatinization กับโมเลกุลของแป้งให้กลายเป็นสารที่ทำให้เกิดความเหนียว
โดยช่วยปรับปรุงสมบัติเชิงโมเลกุลของสตาร์ชในมันสำปะหลัง จนได้ทรายแมวเม็ดเล็กละเอียด ดูดซับของเหลวและกลิ่นได้ดีที่สุดในท้องตลาด โดยผ่านการตรวจจับแอมโมเนียที่ระเหยขึ้น
ซึ่ง “ผลิตภัณฑ์ทรายแมว" ดูดซับกลิ่นโดยไม่ใช้สารเคมี ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับมันสำปะหลังมากขึ้นถึง 10 เท่า ปรับจาก 7-8 บาท เป็น 80-100 บาทต่อกิโลกรัม มีศักยภาพสูงทางการตลาดโดยเฉพาะตลาดต่างประเทศ
หากเปรียบเทียบกับทรายแมวในกลุ่มที่มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกัน ประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์สามารถจับตัวเป็นก้อนหลังจากแมวใช้งานเสร็จเพียง 10 วินาทีเท่านั้น ทำให้สะดวกในการเก็บ และสามารถนำไปทิ้งในชักโครกได้ เพราะมันสำปะหลังมีคุณสมบัติที่สามารถละลายแตกตัวในน้ำได้เร็ว และย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ ทั้งยังปลอดภัยกับแมวและผู้เลี้ยง
ไม่ส่งผลเสียต่อเจ้านายและผู้เลี้ยง
ส่วนทางด้านความปลอดภัย เนื่องจากผลิตจากมันสำปะหลัง 100% ฉะนั้นการที่แมวเด็กๆมีพฤติกรรมในการอยากลองชิมทราย ไฮด์แอนด์ซีคจะไม่ส่งผลเสียต่อร่างกาย อีกทั้งฝุ่นของแป้งมันจะไม่มีอันตรายเฉกเช่นส่วนประกอบของสารเบนโทไนต์ ซึ่งจะมีสารที่เรียกว่าผนึกซิลิก้าติดมาด้วย ซึ่งเป็นสารที่ก่อให้เกิดโรคเมื่อสะสมในปริมาณมาก ไม่ว่าจะเป็นโรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรัง โรคมะเร็ง หรือแม้กระทั่งโรคไต ทั้งในคนและแมว
ปัจจุบันกำลังการผลิตอยู่ที่ประมาณ 20-30 ตันต่อเดือน โดยหากปิดดีลลูกค้าได้มีแพลนจะขยายโรงงานเพิ่มขึ้นในช่วงปี 65 ส่วนการเพียงพอของวัตถุดิบมันสำปะหลังหรือไม่นั้น ได้มีการเคยคำนวณหากทั้งประเทศเปลี่ยนมาใช้ทรายจากมันสำปะหลังทั้งหมด จะมีการใช้มันสำปะหลังเทียบเท่ากับปริมาณการส่งออกของประเทศไทยเพียง 0.0000001% เท่านั้น
ปัจจุบันโมเดลธุรกิจเป็นในรูปแบบ B2B และ B2C ทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ อาทิ ร้านเพ็ทช้อป ห้างไฮเปอร์มาร์เก็ต อย่าง โลตัส เป็นต้น ทำให้มีจุดจำหน่ายทั่วประเทศอยู่ประมาณ 200 แห่ง และช่องทางออนไลน์ช้อปปี้, ลาซาด้า, LINE Official, อินสตราแกรม, เฟซบุ๊ก ทั้งนี้นอกจากขายในแบรนด์ของตนเองแล้วก็มีรับทำ OEM ให้กับผู้ประกอบการรายอื่นที่สนใจอีกด้วย
ส่วนภาพรวมตลาดทรายแมวในประเทศไทยมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 700 ล้านบาทต่อปี และตลาดโลกมีมูลค่าประมาณ 3 แสนล้านบาทต่อปี ซึ่งปัจจุบันไฮด์แอนซีคเข้ามาทำตลาดได้ 1 ปี ส่วนใหญ่ยังจำหน่ายในประเทศกว่า 90% ในปีแรกมีส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 5% และคาดว่าจะเติบโตในประเทศได้มากกว่า 100% ทุกปี
ขยายสู่การมอนิเตอร์โรค
ส่วนในต่างประเทศตั้งเป้าที่จะเติบโตมากขึ้น เนื่องจากมองตลาดโลกไว้เป็นตลาดหลักมากกว่าตลาดในประเทศ แต่การเปิดตัวในประเทศก่อนเพื่อให้คนไทยได้ใช้ และเพื่อสร้างชื่อเสียงสร้างฐานลูกค้าให้กับแบรนด์ โดยตลาดที่กำลังเจรจาอยู่คือ ญี่ปุ่น เกาหลี เวียดนาม อิตาลี ฟิลิปปินส์ อีกทั้งรัสเซีย และตะวันออกกลาง แต่ตลาดที่ค่อนข้างเป็นไปได้จะอยู่ทางเอเชียเป็นหลัก เนื่องจากมีปัจจัยเรื่องค่าขนส่งเข้ามาเกี่ยวข้อง
ด้วยความที่บริษัทฯมีทีมวิจัยเป็นของตนเอง มีสิทธิบัตร จึงมีแพลนพัฒนามันสำปะหลังไปใช้ประโยชน์ในการดูดซับมากขึ้น ซึ่งอยู่ในช่วงวิจัยและพัฒนา รวมถึงทรายแมวที่สามารถมอนิเตอร์โรคได้เบื้องต้นที่อยู่ในช่วงเสนอโครงการวิจัยกับคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คาดว่าจะสำเร็จภายใน 1-2 ปี
รวมทั้งมีแพลนที่จะไปเจาะกลุ่มอื่นเช่น หนู กระต่าย และสุนัข ซึ่งอาจจะต้องดีไซน์การใช้งาน และทำต้นแบบขึ้น ทั้งนี้ในมุมของความท้าทายของการทำธุรกิจเขามองว่า บริษัทเป็นเอสเอ็มอีที่ใช้นวัตกรรมเข้ามาในการผลิต ทำให้มีจุดที่ได้เปรียบคู่แข่งในตลาด แต่การใช้นวัตกรรมก็มีข้อระวังเช่น ปัญหาของลูกค้ามีจริงหรือไม่ เพราะหากนวัตกรรมไม่ได้ตอบโจทย์ปัญหาของตลาดจริงๆ อาจจะหลงทางและไม่ประสบความสำเร็จได้
หลังจากที่บริษัทเปิดตัวหลังจากเกิดโควิด หากดูจากสถิติพบว่ามีปริมาณคนที่เลี้ยงแมวมากขึ้น ทำให้สินค้าในเซกเตอร์นี้มีการเติบโต แต่กระนั้นสินค้าของบริษัทฯไม่ได้มีราคาถูกที่สุดในตลาด เพราะอีกมุมคือคนเลี้ยงแมว อาจจะต้องลดค่าใช้จ่ายลง และสินค้าจะยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก ดังนั้นการเติบโตในช่วงโควิดจึงไม่ได้เร็วมาก แต่ก็ถือว่ามีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
“สุดท้ายนี้หัวใจสำคัญของการพัฒนา มาจากการที่เราอยากเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตทางการเกษตรของประเทศไทย เพราะไทยเป็นประเทศที่อยู่ในกลุ่มกับดักรายได้ปานกลางมานาน จึงต้องการที่จะสร้างคุณค่าและประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้เลี้ยงและแมว สุดท้ายคือเป็นตัวอย่างให้กับคนไทยที่ประกอบธุรกิจได้เลือกใช้นวัตกรรมเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจของตนเองอีกทางหนึ่ง”
ทั้งนี้ไฮด์แอนด์ซีค คว้ารางวัลรองชนะเลิศระดับภูมิภาค ภาคกลาง ในโครงการสุดยอดธุรกิจนวัตกรรมประเทศไทยระดับภูมิภาค ภายใต้ “นิลมังกรแคมเปญ” ของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ เอ็นไอเอ ด้วยเช่นกัน
สนใจสั่งซื้อได้ที่ : https://www.facebook.com/HideandSeekCatLitterOfficial/