3 องค์กร ปักหมุดแชร์แนวทางสานต่อ “COP26”

3 องค์กร ปักหมุดแชร์แนวทางสานต่อ “COP26”

“COP26 กับแนวทางของไทยผนึก รัฐ - เอกชน จับมือลดผลกระทบการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” ที่ถูกจัดโดย สอวช. หลังจากมีการประชุม COP26 ที่ผู้นำประเทศทั่วโลกต่างให้ความสำคัญกับเป้าหมาย และความท้าทายในการดำเนินการเกี่ยวกับการลดผลกระทบการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

เนื่องด้วยการที่ประเทศไทยต้องเผชิญกับความท้าทายของการเปลี่ยนแปลง และปัจจัยที่ไม่แน่นอนของโลก การคิดแก้ไขเพียงวิกฤติเฉพาะหน้าอาจไม่เพียงพออีกต่อไป ซึ่งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ได้จัดรายการพูดคุยผ่านช่องทางออนไลน์ ในรายการ Future Talk by NXPO ครั้งที่ 7 ในประเด็น “COP26 กับแนวทางของไทย ผนึก รัฐ - เอกชน จับมือลดผลกระทบการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” 

ด้าน พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม (สผ.) ในฐานะหน่วยงานกลางของประเทศ ภายใต้กรอบอนุสัญญา COP26 กล่าวถึงเป้าหมายหลักสำคัญในความตกลงปารีส หรือ Paris Agreement ว่าคือ การควบคุมอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้สูงเกินกว่า 2 องศาเซลเซียส และมุ่งเป้าไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับก่อนยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม  

ซึ่งการประชุมครั้งล่าสุดคือ COP26 มีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยสหราชอาณาจักรที่เป็นประธานการประชุม ได้กำหนดธงในการประชุมครั้งนี้ไว้ 3 เรื่อง ได้แก่ 1.ทำอย่างไรให้ทุกประเทศสมาชิกยกระดับเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อให้อุณหภูมิของโลกต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส และเข้าใกล้หรือถึง 1.5 องศาเซลเซียส 2.การปรับตัวเพื่อรองรับผลกระทบจากอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น และภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และ 3.กลไกการสนับสนุนทางการเงิน เทคโนโลยีและองค์ความรู้ต่างๆ ที่จะต้องมีการเปลี่ยนผ่านกันระหว่างประเทศพัฒนาแล้วกับประเทศกำลังพัฒนา

 

ซึ่งในการประชุมครั้งนี้ยังมีข้อตัดสินใจของการประชุมที่ถูกกำหนดขึ้นเรียกว่า Glasgow Climate Pact ที่มีรายละเอียด อาทิ การยกระดับเป้าหมายเพื่อปรับปรุง Nationally Determined Contributions: NDCs หรือการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด โดยแต่ละประเทศต้องเพิ่มเป้าหมายให้ท้าทายขึ้น รวมทั้งทิศทางการลดก๊าซเรือนกระจก การสนับสนุนทางการเงินที่จะเปลี่ยนผ่านประเทศการพัฒนาไปสู่การลดก๊าซเรือนกระจกที่อาจต้องใช้เงินสูงถึง 1 ล้านล้านเหรียญฯ 

รวมถึงการเร่งรัดให้ส่งแผนการปรับตัวแห่งชาติ เพื่อสื่อสารเรื่องการปรับตัวและความต้องการการส่งเสริม สนับสนุนต่างๆ รองรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ขณะที่การประชุมครั้งนี้ยังได้ข้อสรุปว่าทุกประเทศต้องมีการตั้งเป้าหมายให้ตรงกัน โดยกำหนดเป้าหมายทุก 5 ปี เพื่อให้สามารถวิเคราะห์ภาพรวมในระดับโลกได้ ทั้งการถ่ายโอนคาร์บอนเครดิตที่ต้องเป็นไปตามมาตรฐานกำหนด 

ทั้งนี้หลังจากแต่ละประเทศนำแนวทางไปปฏิบัติแล้ว ยังต้องมีการรายงานข้อมูลกลับไปในรูปแบบ Biennial Transparency Report หรือรายงานความโปร่งใส ราย 2 ปี ที่จะต้องรายงานผลต่างๆ อาทิ การลดก๊าซเรือนกระจก การปล่อยก๊าซเรือนกระจก กลไกการเงินที่ได้รับการสนับสนุน เป็นต้น ซึ่งประเทศไทยต้องส่งครั้งแรกในปี 2024

“สำหรับประเทศไทย โดยนายกฯ หลังเข้าร่วม COP26 ได้ประกาศเป้าหมายสำคัญคือประเทศไทยจะเป็นกลางทางคาร์บอน ในปี 2593 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2608 ต่อมาคือการยกระดับ NDCs จากร้อยละ 20-25 ให้ถึงร้อยละ 40 โดยใช้แนวทางการสนับสนุนทางการเงิน การถ่ายทอดเทคโนโลยีและความรู้ ส่วนเรื่องการลดอุณหภูมิไทยอยู่ในทิศทางที่จะลดลงมาอยู่ระหว่าง 1.6-1.7 องศาเซลเซียส ซึ่งถือเป็นเป้าหมายที่ท้าทายเพราะตั้งเป้าไว้สูงกว่าเป้าหมายโลกที่จะไปถึงในตอนนี้"

ส่วนงานที่สผ.ต้องทำต่อคือร่วมกับทุกภาคส่วนอัพเดตเป้าหมาย NDCs ผ่านการรับฟังความเห็นจากทุกภาคส่วน ทั้งปรับปรุงยุทธศาสตร์ระยะยาวว่าด้วยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำ ให้สอดรับกับเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์

ทั้งนี้ พิรุณ ทิ้งท้ายว่า ในการดำเนินธุรกิจในศตวรรษนี้มีแต่ต้องก้าวให้เร็วกว่าคนอื่น ซึ่งต้องการเห็นการผลักดันและพาองคาพยพภาคธุรกิจไปข้างหน้าด้วยกันทั้งหมด เพราะเชื่อว่าภาคธุรกิจเชื่อมโยงกับภาคประชาชน ดังนั้นทุกคนต้องร่วมกันแก้ไขผ่านการขับเคลื่อนและจับมือเดินหน้าเรื่องนี้ไปด้วยกัน

ส่วนทางฝั่งภาคเอกชน บุตรา บุญเลี้ยง Head of Technology Strategy and Portfolio Management บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด ให้ความเห็นว่า หลังจากเข้าร่วมการประชุม COP26 มีความหวังคือคนจำนวนหลายหมื่นคนในแต่ละวันร่วมพูดคุยหารือในเรื่องเดียวกันอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนความกังวลคือการคิดว่าต้องใช้พลังงานเยอะแค่ไหนในการไปถึงเป้าหมายนั้นได้ ไม่ว่าจะเรื่องการลงทุน เทคโนโลยี นโยบายต่างๆ เป็นโจทย์ที่ต้องร่วมมือทั้งรัฐและเอกชน

สำหรับภาคเอกชนจะมีองค์กรหนึ่งชื่อว่า สภาธุรกิจโลกเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ได้ออกข้อกำหนดมาคล้ายกับ Climate Pact รวม 12 ข้อ แสดงให้เห็นว่าถ้าทำตามนี้จะถือเป็นการ Future Proof ตัวเองในอนาคต อย่างแรกคือ ภาคธุรกิจควรต้องเริ่มดูว่า Carbon Cost ในอนาคตเป็นอย่างไร จะมีผลกระทบทางการเงินมากน้อยเพียงใด ธุรกิจไหนจะอยู่รอด ธุรกิจไหนควรปรับตัว ธุรกิจไหนที่ควรเพิ่มความเข้มแข็งขึ้น

“ส่วนที่สองคือกลุ่มลูกค้า จะเริ่มดูข้อมูล Carbon Credit ที่มาในห่วงโซ่คุณค่า รวมถึงตั้งเป้าหมาย Net Zero จึงต้องสรรหาพาร์ทเนอร์ที่มีเป้าหมายคล้ายกัน ส่วนสุดท้ายที่ต้องจับตามองในฝั่งเอกชนคือเรื่องตลาดการลงทุน หลายธนาคาร รวมถึงแหล่งทุนขนาดใหญ่ ที่เป็นแหล่งเงินหลักของภาคธุรกิจที่ต้องการใช้เทคโนโลยี เริ่มให้ความสำคัญเรื่องคาร์บอนในเชิงของพอร์ตการลงทุน ในระยะนี้ไปจนถึงปี 2573 จะมีการย้ายเงินจากอุตสาหกรรมที่มีความเข้มข้นทางคาร์บอนสูงที่เคยทำเงินมาก่อน จะเริ่มเห็นว่าตลาดกลุ่มนี้มีความเสี่ยง ก็จะย้ายเงินไปลงทุนในตลาดที่เป็นคาร์บอนต่ำมากขึ้น”

สำหรับการเตรียมรับมือของภาคเอกชน บุตรา กล่าวว่า สิ่งสำคัญคือการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี ซึ่งมองว่าเทคโนโลยีที่จะเข้ามาทดแทนหรือช่วยแก้ปัญหานี้ได้ ได้แก่ 1.เทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน 2.การเปลี่ยนการให้ความร้อนจากการเผาไปเป็นการให้ความร้อนจากพลังงานไฟฟ้า และ 3.ไฮโดรเจน ที่จะมาเป็นโมเลกุลหลักในการลดคาร์บอน

ทั้งนี้โอกาสของไทยเขามองว่า ยังมีค่อนข้างเยอะในการทำเรื่องเหล่านี้ ในอนาคตต้องอาศัยการทำนวัตกรรมแบบเปิด ร่วมกับพาร์ทเนอร์ ไม่ว่าจะเป็นการนำเทคโนโลยีที่เหมาะกับโครงสร้างของไทย โครงสร้างของธุรกิจมาใช้ หรือทำนวัตกรรมแบบเปิดร่วมกับมหาวิทยาลัยและภาครัฐ เพื่อพัฒนากำลังคนที่มีความสามารถด้านเทคโนโลยีให้ตอบโจทย์ในอนาคต

ด้าน กิติพงค์ พร้อมวงค์ ผู้อำนวยการ สอวช. ทิ้งท้ายว่า ถึงแม้การบรรลุเป้าหมายจะเป็นเรื่องที่ยากและท้าทาย แต่ที่ผ่านมา ได้เห็นการทำงานทั้งจากภาครัฐและเอกชน ที่ลงมือลงแรงร่วมกันจนมีความก้าวหน้าไปเยอะ ทำให้มองเห็นความเป็นไปได้ว่าเราน่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายได้ ซึ่งในส่วน สอวช. เอง ก็ได้มีโอกาสเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว ในฐานะ Negotiator ในประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกับ “Technology Development and Transfer” และทำหน้าที่เป็น National Designated Entity (NDE) ซึ่งเป็นหน่วยประสานงานกลางด้านการพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ของ The Climate Technology Centre and Network (CTCN) ภายใต้อนุสัญญา UNFCCC โดยมีหน้าที่หลักๆ คือ ตรวจสอบคำขอรับความช่วยเหลือว่าตรงตามความต้องการของประเทศหรือไม่ รวมถึงประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน

ซึ่ง สอวช. มีความพยายามที่จะเชื่อมโยงประเทศไทยกับนานาชาติ โดยเฉพาะเรื่องการถ่ายทอดเทคโนโลยีและเน้นบทบาทของ อววน. โดยเฉพาะนักวิจัยในการดูดซับองค์ความรู้ ตลอดจนบทบาทด้านการหาแหล่งทุนจากในและต่างประเทศ เพื่อมาขยายขนาดโครงการด้านเทคโนโลยีที่จำเป็นเพื่อให้ไทยสามารถบรรลุเป้าหมายตามที่กล่าวไว้ในเวที COP26 รวมถึงการสนับสนุนบุคคลากร และอำนวยความสะดวก เพื่อเร่งให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยี ให้ประเทศไทยสามารถพัฒนาเทคโนโลยีได้เองในประเทศ


“เรื่องของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ใช่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นเรื่องของทุกคน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน เป็นเรื่องใกล้ตัว ส่งผลกระทบต่อเราทุกคนเท่าๆ กัน เพราะฉะนั้นทุกคนต่างก็มีส่วนร่วมและเป็นส่วนสำคัญที่สามารถเข้ามาช่วยในการดูแลโลกใบนี้ได้”