‘เอ็นทีที’ ชี้ ‘3 เทรนด์’ พลิกอนาคต 'ความยั่งยืน เมตาเวิร์ส เอไอออโตเมชั่น'
“เอ็นทีที” ชี้เทรนด์โลกอนาคต “ความยั่งยืน - เมตาเวิร์ส - เอไอออโตเมชั่น” มาแรง เตรียมพร้อมเทคโนโลยีและบริการรองรับลูกค้า ฟันธง "คลาวด์" ความต้องการพุ่งไม่หยุด อานิสงส์ "โควิด" หนุน คู่กับไซเบอร์ซิเคียวริตี้ที่ทุกองค์กรต้องคำนึงถึงการลงทุน
“สุทัศน์ คงดำรงเกียรติ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ประจำประเทศไทย กัมพูชา เมียนมา และ ลาว บริษัท เอ็นทีที จำกัด ให้สัมภาษณ์พิเศษ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า หลายบริษัทกลับมาทำงานแล้วหลังการระบาดของโควิด ขณะที่ รูปแบบและพฤติกรรมการทำงานได้เปลี่ยนไปอย่างถาวร บริษัทก้าวไปข้างหน้าเพื่อใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี และวัฒนธรรมการทำงานใหม่ๆ
“องค์กรใหญ่เริ่มประกาศนโยบายการทำงานใหม่ มูฟไปข้างหน้า จากเดิมเคยเป็นดิจิทัล เวิร์คเพลส นำดิจิทัลเข้ามาที่ออฟฟิศ แต่เฟสใหม่กำลังเปลี่ยนเป็นนำเวิร์คเพลสเข้าไปในดิจิทัล ให้คนไปอยู่ในโลกดิจิทัลได้ และสเตทต่อไปเป็นการนำเวิร์ค และไลฟ์เข้าดิจิทัลทั้งหมด”
รูปแบบการทำงานขององค์กร จะเปลี่ยนเป็นพนักงานอยู่ที่ไหนก็ทำงานได้ สำนักงานจะไม่มีโต๊ะนั่งประจำ ซึ่งองค์กรใหญ่เริ่มแล้ว องค์กรอื่นๆ จะปรับตามเป็นการทำงานรีโมท หรือมิกซ์โหมด นโยบายองค์กรปรับเพื่อให้รองรับการก้าวไปข้างหน้า
“เอ็นทีทีกำลังปรับคัลเจอร์ ปรับวิธีการทำงาน ปรับนโยบายเพื่อให้รองรับและขยับไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็ว”
ความยั่งยืน - เมตาเวิร์ส - เอไอออโตเมชั่น
สุทัศน์ บอกว่า แนวโน้มระยะยาวบริษัทต้องคำนึงถึง 1.ความยั่งยืน (Sustainability) นโยบาย เอ็นทีที กรุ๊ป จะทำธุรกิจให้มีความยั่งยืนเรื่องพลังงาน ไม่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม สนับสนุนนโยบายระดับโลกและแต่ละประเทศ มีประกาศว่า ภายในปี 2030 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ดาต้าเซ็นเตอร์ ธุรกิจที่ใช้พลังงานจะ Net Zero จากนั้น ปี 2035-2040 ตามด้วยสถานที่ทำงานต้องคำนึงถึงสิ่งนี้
การเตรียมความพร้อมองค์กร จะรองรับความต้องการลูกค้า ซึ่งต้องมีนโยบายความเป็นกลางทางคาร์บอนด้วย ต้องหาคู่ค้าที่ดำเนินธุรกิจภายใต้นโยบายเดียวกัน ทั่วไปธุรกิจเอกชนจะดำเนินการได้ก่อนนโยบายของรัฐ
2.เมตาเวิร์ส จะได้เห็นการนำ “เวิร์ค” และ “ไลฟ์” เข้าดิจิทัล หลังจากเออาร์ วีอาร์ที่พัฒนามาแล้วหลายปีจะมีคุณภาพดีขึ้น โซเชียล เน็ตเวิร์ค เว็บเพจต่างๆ จะเป็น 3 มิติ หรือเสมือนจริงมากขึ้น ธุรกิจการค้าจะอยู่ในโลกเมตาเวิร์ส และตอบสนองการทำงานเอ็นเตอร์ไพร์ซ ที่โลกเข้าสู่ “ดิจิทัล เวิร์คเพลส” ทำงานที่ไหนก็ได้ การประชุมจะมีมิติ อาจไม่ต้องเข้าไปพบปะกัน หรือทำงานคอลลาบอเลชั่น เวิร์คเพลส อนาคตพนักงานจะไม่มีที่นั่งประจำ อุปกรณ์เครื่องใช้บนโต๊ะทำงานจะเปลี่ยนไป
ในส่วนของกลุ่มอุตสาหกรรมจะพัฒนาต่อไปใน 3-5 ปี จะเห็นการทำ “ดิจิทัล ทวิน” การโอเปอเรทสายการผลิต ช่วยลดความเสี่ยงช่วยเรื่องความปลอดภัยการทำงานพื้นที่อันตราย-พื้นที่ห่างไกล การดีไซน์ทำได้ที่ดีขึ้น จากเออาร์ วีอาร์ที่กำลังมาเร็ว มีประโยชน์ต่อการทำงาน
3.เอไอ ออโตเมชั่น จะถูกขับเคลื่อน และได้เห็นมากขึ้น มีพัฒนาการอัจฉริยะมากๆ เช่น โรบอตที่มาทำงานแทนคน ยานยนต์ผสมออโตเมชั่น และระบบอินทิลิเจนท์ต่างๆ ที่เสริมให้แมชชีนฉลาดขึ้น และทำงานร่วมกับคนมากขึ้น
เตรียมพร้อมรับลูกค้าอนาคต
ทั้ง 3 เรื่องนี้ ในระยะยาวจะเห็นชัดเจนมาก ส่งผลให้ชีวิตคนเปลี่ยนไป ซึ่งเอ็นทีทีได้เตรียมตัวรองรับทั้งโซลูชัน และเซอร์วิส พร้อมทั้งลงทุนในสิ่งที่จะมารองรับ เพราะสิ่งต่างๆ ที่กล่าวถึงต้องการพลังงานที่สูงมาก เริ่มให้ข้อมูลลูกค้า เพราะการลงทุนวันนี้ต้องรองรับอนาคต 3-5 ปีข้างหน้า
“เราจะต้องทำให้มีการใช้พลังงานที่เหมาะสม ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ต้องการแบนด์วิธที่สูงมาก เพราะต้องส่งข้อมูล 3ดี เรียลลิตี้ ต้องการคอมพิวติ้ง เพาเวอร์สูง จะเกิดการดิสรัปในระดับที่ผู้ใช้ไม่เห็น แต่เอ็นทีทีกำลังเวิร์คอยู่ รวมทั้งเรื่องคลาวด์ในเน็กซ์ เจเนอเรชั่น ที่รันอยู่บนดาต้าเซ็นเตอร์ ต้องมีซูเปอร์เพาเวอร์ ทั้งพลังงาน และคอมพิวที่พูดถึงคือ เทคโนโลยีควอนตัม ซึ่งเอ็นทีที กำลังพัฒนาเน็ตเวิร์ค ไอโอน หรือ Innovative Optical Wireless Network เป็นเน็ตเวิร์ค เจเนอเรชั่นใหม่ให้แบนด์วิธสูงมาก กินพลังงานน้อย และยังทำงานร่วมกับเวนเดอร์ต่างๆ เพื่อรองรับโลกที่กำลังจะมา”
คลาวด์-ไซเบอร์ซิเคียวริตี้แรงไม่หยุด
ส่วนเทคโนโลยีปัจจุบันที่มาแรงในช่วงโควิดถึงปัจจุบัน คือ 1.คลาวด์ ซึ่งเป็นแอส อะ เซอร์วิส เมื่อเทคโนโลยีที่เปลี่ยนเร็วมาก และรองรับอนาคตได้ การลงทุนใหม่ๆ ทุกองค์กรต้องถามถึงคลาวด์ กระทบทั้งการใช้งานเทคโนโลยี โครงสร้างพื้นฐานองค์กร ตั้งแต่เซิร์ฟเวอร์ สตอเรจ เน็ตเวิร์ค ซิสเต็มส์ ต้องปรับใหม่ทั้งหมด
“เราเรียกว่า Modernize Infrastructure และ Modernize Application ทุกอย่างต้องต่อเชื่อมกับคลาวด์ได้”
2.ไซเบอร์ซิเคียวริตี้ เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี กฎหมาย นโยบาย วัฒนธรรม รวมถึงเรื่องส่วนบุคคล เป็นเรื่องใหญ่และยังไม่นิ่ง เมื่อเราไปดิจิทัล ซิเคียวริตี้จะสำคัญมาก ต้องตระหนัก เอ็นทีที พร้อมในเรื่องลงทุนช่วยลูกค้า แมนเนจ มอนิเตอร์ ที่ปรึกษา รวมถึงไปโอเปอเรทให้
3.ดิจิทัล ทรานสฟอร์เมชั่น โดยมองมุมข้อมูล และข้อมูลทางธุรกิจ ทำธุรกิจโดยนำดิจิทัลมาใช้ เช่น ไอเอ บีไอ ออโตเมชั่น การอินทิเกรชั่น นำข้อมูลของตัวเราและลูกค้า เช่น แบงก์เปิดซูเปอร์แพลตฟอร์มให้ใช้งานร่วมกัน หรือย้ายข้อมูลหรือแอปพลิเคชันขึ้นคลาวด์
4.แมเนจไอที เทคโนโลยี จากปัญหาการขาดแคลนคน เทคโนโลยีเปลี่ยนเร็วมาก หลากหลายมาก องค์กรต่างๆ มุ่งนำเทคโนโลยีมาเปลี่ยนแปลงธุรกิจ ต้องการไปออนไลน์ นำเทคโนโลยีมาขับเคลื่อน วิเคราะห์ธุรกิจ
“การจัดการไอที อินฟราสตรักเจอร์ หรือเซอร์วิสเป็นเรื่องวิกฤติมาก การแมเนจไอทีเป็นเรื่องสำคัญ เอ็นทีทีเลยเข้าไปให้บริการตรงนี้ เพราะมีบุคลากรผู้เชี่ยวชาญในไทยเป็นพันคน มีแพลตฟอร์มเทคโนโลยี เพื่อแมเนจเทคโนโลยีที่โอเปอเรทให้ลูกค้าได้ทั้งซิสเต็มส์ และมีเทคโนโลยีของเวนเดอร์ต่างๆ นำไปทำออโตเมชั่น โอเปอเรต และวิเคราะห์ระดับอินฟราสตรักเจอร์ได้”
ทั้ง 4 ด้านที่กล่าวถึง เอ็นทีที ขยายงานอย่างมากและต่อเนื่อง ทั้งคน เทคโนโลยี และการลงทุน ขับเคลื่อนมาแล้ว 1-2 ปี และยังคงขับเคลื่อนต่อไป
จากเทคโนโลยีไอทีต่างวิ่งไปคลาวด์ การเติบโตของคลาวด์ในไทยช่วง 2 ปีนี้จึงยังเติบโตมาก อาจเป็นระดับ 100% ซึ่งบริษัทผลักดันพนักงานที่มีพันคนต้องมีคลาวด์ เซอร์ติฟิเคชั่น มีโนว์เลจ เรื่องคลาวด์ คุยกับลูกค้าทุกครั้งต้องคุยเรื่องคลาวด์
ขณะเดียวกัน การลงทุนด้านซิเคียวริตี้เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะใช้งานคลาวด์หรือไม่ แต่หากใช้บริการคลาวด์ จะมีข้อดีที่ผู้ให้บริการได้ลงทุนเทคโนโลยีความปลอดภัยหลายระดับ และเฝ้าระวังรอบด้านอยู่แล้ว เนื่องจากการใช้งานยุคใหม่ไม่จำกัดเฉพาะในองค์กร ยังมีลูกค้าจากภายนอกเข้าใช้แอปพลิเคชันขององค์กรได้ด้วย
ส่วนดาต้าเซ็นเตอร์ ที่ให้บริการนั้น บริษัทลงทุนระดับ 1-2 พันล้านบาท ที่โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) รองรับคลาวด์ทั้งการโฮลต์ที่ศูนย์ และให้บริการโอเปอเรเตอร์รายใหญ่ โดยเพิ่งประกาศขยายเฟส 4 ที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร จ.ชลบุรี ทั้งคอมพิวเพาเวอร์ และสเปซเพื่อรองรับการเติบโต
“เอ็นทีทีในไทยเป็นท็อป 10 ของสาขาเอ็นทีทีทั่วโลก อยู่ไทยมา 60 ปี ขยายธุรกิจทุกด้าน มีลงทุนสูง ทั้งเทคโนโลยี ดาต้าเซ็นเตอร์ คน และไทยมีศักยภาพ และเป็นฮับของซีแอลเอ็ม ซึ่งในพม่าลงทุนมากโดยใช้ไทยเป็นฮับ”
จับตา ‘สงครามรัสเซีย - ยูเครน’
“สุทัศน์” ให้ความเห็นกรณีสงครามรัสเซีย - ยูเครนด้วยว่า ต้องจับตาดูต่อไป แต่คิดว่า ไม่มีฝ่ายไหนต้องการทำให้เป็นสงครามใหญ่ เพราะทุกทวีปเผชิญวิกฤติกันมามากแล้วจากโควิด คงไม่มีใครต้องการขยายให้เป็นสงครามใหญ่ หวังว่าจะไม่มีอะไรรุนแรงกว่านี้
ทั้งนี้ ผลกระทบน่าจะอยู่ที่เงินเฟ้อ ต้นทุนการผลิต ส่งผลให้เศรษฐกิจอาจชะลอตัวบ้าง
หากช่วงเวลานี้ยังมีข้อดีอื่นคือ การที่โลก และประเทศไทยกำลังเปิด แม้มีผู้ป่วยโควิดมากขึ้น แต่ปรับชีวิตและยอมรับต่อสถานการณ์โรคที่เกิดขึ้น เริ่มเปิดดำเนินธุรกิจ การเดินทางเชิงธุรกิจเริ่มมีขึ้นในเดือนมีนาคม
“หลังจากไม่มีเวนเดอร์จากอาเซียน APAC มาเยี่ยมที่บริษัท 2 ปีแล้ว ก็เริ่มติดต่อขอพบ โดยเริ่มเดินทางไปในประเทศที่เปิด ไม่ต้องกักตัว ถือเป็นการขับเคลื่อนไปข้างหน้า ความมั่นใจต่อธุรกิจจะดีขึ้น แต่วิธีการทำงานจะไม่เหมือนเดิม ทุกคนไม่จำเป็นต้องทำงานอยู่ในสำนักงานด้วยกัน”
พิสูจน์อักษร โดย....สุรีย์ ศิลาวงษ์