ทำไมมีผู้ชนะในสงครามสตรีมมิงเพียงไม่กี่เจ้า | ทิวัตถ์ ชุติภัทร์
เมื่อช่วงต้นเดือนที่แล้ว มีการรายงานมาว่าตอนเดือนสิงหาคมปี 2565 เป็นเดือนแรกที่คนในสหรัฐอเมริกาดูทีวีจากสตรีมมิงมากกว่าช่องเคเบิลธรรมดาเสียแล้ว
ทุกวันนี้มีการคาดการณ์กันว่าตลาดของสตรีมมิ่งทั่วโลกนั่นจะเติบโตประมาณ 186.82 พันล้านดอลลาร์ในช่วงปี 2564 ถึงปี 2568 และมีการคาดการณ์ว่าตลาดนี้จะเติบโตถึงปีละ 18.41% เลย
ทุกวันนี้มีแอพสตรีมมิ่งมากกว่า 200 แอพทั่วโลก แต่แน่นอนว่าในประเทศไทยเราจะรู้จักกันอยู่ไม่กี่แอพเช่น Netflix HBO GO Line TV Viu WeTV และ Amazon Prime ที่ช่วงหลังๆมาโฆษณาและเจาะตลาดในประเทศไทยอย่างมาก
วันนี้ช่องเคเบิลเจ้าใหญ่ หรือ แม้กระทั่งสตูดิโอหนังต่างมีของตัวเองกันทั้งนั้น เช่น Warner Bros. ก็มีแอพสตรีมมิ่งเป็นของตัวเองชื่อ Warner Bros. Discovery
ในขณะที่ Comcast เจ้าของช่องใหญ่ๆเช่น CNBC ก็มีแอพที่ชื่อว่า Peacock ที่เป็นสตรีมมิ่งเซอร์วิสของตัวเอง แต่ก็ยังมีสตูดิโอใหญ่อยู่เจ้าหนึ่งที่ยังไม่มีแอพสตรีมมิ่งเป็นของตัวเองนั่นคือ Sony Pictures
แน่นอนว่าในเมื่อแต่ละคนต่างหันมาทำเป็นของตัวเองก็ไม่ใช่ว่าจะเวิร์คซะทุกเจ้า CNN อดีตช่องข่าวอันดับ 1 ของอเมริกาเคยออกแอพสตรีมมิ่งเป็นของตัวเองที่มีชื่อว่า CNN+ ซึ่งจะเป็นแอพสตรีมมิ่งของ CNN โดยเฉพาะและเป็นอนาคตของบริษัท
แอพพลิเคชั่นสตรีมมิ่งในสมัยก่อนเมื่อประมาณ 5-10 ปีที่แล้วจะมีอยู่ไม่กี่แอพเช่น Netflix Hulu และ Amazon Prime ในทุก
มีการตั้งเงินสำรองไว้ให้กับแอพนี้สูงถึง 1 พันล้านดอลลาร์ กลับล้มเหลวภายใน 3 สัปดาห์ ทาง CNN คาดการณ์ว่าจะมีคนเข้ามาใช้บริการแอพ CNN+ ในปีแรกประมาณ 2 ล้านคน
แต่ภายในสองสัปดาห์แรกมีคนเข้ามาใช้งานเพียงแค่ 10,000 คนเท่านั้น และนี้เป็นตัวเลขหลังจากแอพตัดสินใจลดราคาให้แล้ว ทำให้ CNN ตัดสินใจถอดปลั้กแอพนี้ภายใน 3 สัปดาห์ ถึงแม้ว่าลงทุนกับแอพนี้ไปแล้ว 300 ล้านดอลลาร์
เหตุผลที่ตลาดสตรีมมิ่งเติบโตมากจนแซงหน้าช่องเคเบิลต่างๆ อาจจะมาจากโรคระบาดโควิด-19 ที่ทำให้คนต้องอยู่บ้านมากขึ้นและทำให้บรรดาโรงหนังต่างพากันปิดกิจการ ถึงแม้ว่าแอพสตรีมมิ่งจะมีมากกว่า 200 แอพ แต่มีแค่ 2 แอพที่มีกำไรจากการทำสตรีมมิ่งเท่านั้น
นั่นคือ Hulu ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2550 มีคนที่เป็นสมาชิกอยู่สูงถึง 43 ล้านคน แต่ Hulu ไม่มีแอพอยู่ในเมืองไทย อีก 1 แอพที่สามารถทำกำไรได้อยู่คือ Netflix ซึ่งถึงแม้ว่าราคาหุ้นของ Netflix จะตกลงมาจากจุดสูงสุดร้อยละ 65 แต่ Netflix ก็ยังคงเป็นแอพที่สามารถหากำไรได้จากสตรีมมิ่ง
แต่พอมันเป็นธุรกิจแพลทฟอร์มสิ่งที่สำคัญที่ทุกคนควรทราบก่อนคือ กำไรไม่ใช่เรื่องใหญ่ของแพลทฟอร์มเหล่านี้ แต่เป็นจำนวนผู้ใช้งานหรือสมาชิกมากกว่า
Netflix เป็นตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจตรงที่ว่า ถึงแม้หุ้นจะลง และ ปลดพนักงานออกมากกว่า 100 คน แต่บริษัทตอนนี้ก็ยังถือว่ากำไรอยู่ และถึงแม้ว่ามีสมาชิกมากกว่า 1 ล้านคนที่ไม่ต่ออายุสมาชิกกับ Netflix
เหตุผลที่คนส่วนใหญ่ไม่ต่อสมาชิกกับ Netflix คงเป็นเพราะเรื่องของราคา ราคาของ Netflix ต่อเดือนเริ่มตั้งแต่ 99 บาทจนไปถึง 419 บาทต่อเดือนซึ่งก็ถือว่าไม่เบาเหมือนกัน
ถ้าเราคิดว่าขอแค่เพียง Netflix ลดราคาลงแล้วสมาชิกเหล่านั้นก็กลับเข้ามาแล้วก็คงหมดปัญหา แต่ส่วนใหญ่แล้วมันไม่ใช่อย่างนั้น หุ้นของ Netflix ไม่ได้ลงเพราะจำนวนสมาชิกที่ลดลงไป แต่เป็นเพราะว่าเขาไม่เติบโตแล้ว ซึ่งมันก็ยากที่เขาจะกลับเติบโตด้วยจำนวนคู่แข่งที่เพิ่มมากขึ้น และ จำนวนสมาชิกที่ลดลงไป
แน่นอนว่าในสมัยก่อนซีรี่ส์ที่คนดูมากสุดใน Netflix ไม่ได้เป็นของ Netflix ตั้งแต่แรกคือ ซีรี่ส์อย่าง The Office และ Friends ซึ่งซีรี่ส์ The Office ก็เป็นของ Comcast เลยเข้าไปอยู่ในแอพ Peacock ของ Comcast อีกที ส่วน Friends ก็ย้ายไปอยู่ที่ HBO Max แทน
ถึงแม้ Netflix จะต้องเสียสองซีรี่ส์ดังในแพลทฟอร์ม แต่ Netflix ก็ยังกำไรอยู่และยังผลิตคอนเทนท์ของตัวเองมาเรื่อยๆ
Hulu เป็นแอพที่ตอนแรกผนึกกำลังระหว่าง Comcast กับ Fox ซึ่งต่อมา Fox ก็กลายมาเป็นของ Disney จนในที่สุด Disney ก็ซื้อทั้งหมดของ Comcast และทำให้ Hulu เป็นแอพของ Disney ซึ่งถึงแม้ว่าตอนนี้ Hulu จะเป็นแอพของ Disney แล้วก็ตามแต่ว่า Disney ก็ไม่ยอมเปลี่ยนให้เป็นของ Disney ทั้งหมด
ยังมีหลายๆรายการใน Hulu ที่ไม่ใช่ของ Disney ซึ่งทุกวันนี้ Disney มีแอพสตรีมมิ่งชื่อดังถึง 3 แอพคือ Disney+ Hulu และ ESPN+ ซึ่ง Disney เลยขายแพ็กเกจเป็นแพ็กเกจเหมารวมสามแอพในราคาเดียว ซึ่งหลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมไม่เอารวมในอยู่แอพเดียวไปเลย
คำตอบคือว่าในตัวเลขจำนวนของสมาชิกพอคุณซื้อแพ็กเกจเหมารวมก็เท่ากับว่าจาก 1 คนกลายมามีสมาชิก 3 คนเลย ซึ่งอาจจะไม่ได้ดูดีในทางบัญชี แต่จะดูดีกับนักลงทุนทั้งหลายและจะทำให้ราคาหุ้นของ Disney เพิ่มขึ้น Disney+ กะจะลงทุนอีก 8 ถึง 9 พันล้านเหรียญในคอนเทนท์ของตัวเองใน 2-3 ปีนี้
เพราะพวกเขาคิดว่าหลังจากเวลานั้นพวกเขาจะมีกำไรจาก Disney+ แล้ว แต่ความจริงคือถ้าจะให้ Disney+ กำไรได้ อาจจะต้องมีสมาชิกมากถึง 240 ถึง 260 ล้านคนเลย ซึ่งเขาคาดการณ์ไว้ว่าจะมาจากประเทศอินเดียเป็นหลักจากการไปผนึกกำลังกับ Hotstar แต่ล่าสุด Disney+ ก็แพ้ในการประมูลซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดลีกคริกเก็ตของอินเดีย
ถึงแม้ว่าผมจะบอกตัวอย่างเพียงแค่ 2 แอพที่เป็น 2 แอพเท่านั้นที่มีกำไร แต่ผมเชื่อว่ายุคทองของแพลทฟอร์มสตรีมมิ่งได้สิ้นสุดลงแล้ว สตรีมมิ่งมาไกลมากถ้าเทียบตั้งแต่ยุคสมัยของร้านเช่าวีดีโอจนถึงทุกวันนี้ ผมก็ยังไม่เชื่อว่า Warner Discovery Paramount+ หรือ แม้แต่ Hulu จะอยู่จนถึง 10 ปีข้างหน้า เพราะว่าทุกคนมีเวลาจำกัด และไม่ใช่ว่าทุกคนจะอยากดูหนังหรือซีรี่ส์ในทุกแพลทฟอร์ม อาจจะเลือกเพียงแค่ 1 หรือ 2 เท่านั้น
Reed Hastings CEO ของ Netflix เคยกล่าวไว้ตอนปี 2560 ว่าคู่แข่งที่เป็นภัยต่อ Netflix ที่สุดคือการนอน ในอนาคตข้างหน้าผมคิดว่าการแข่งขันในตลาดสตรีมมิ่งคงจะเหมือนกับตลาดวีดีโอเกมในช่วงแรกที่มีคู่แข่งเยอะมาก แล้วตอนนี้เหลืออยู่เพียงแค่ไม่กี่เจ้าครับ.
คอลัมน์ : คุยให้... “คิด”
ทิวัตถ์ ชุติภัทร์
ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจบริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ (มหาชน) จำกัด
[email protected]