ผันผวนทวีคูณ
ปี 2023 ยิ่งผันผวนรุนแรงมากขึ้น แต่เชื่อว่าประเทศไทยยังคงมีทางออกที่ดีเสมอ
ปี 2022 ที่เพิ่งผ่านพ้นไปนั้นไม่มีใครปฏิเสธว่าเต็มไปด้วยความผันผวนเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนั้นส่งผลต่อทุกด้านไม่ว่าจะเป็นการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และแน่นอนว่า ส่งผลกระทบถึงคนทุกระดับ
มาถึงปี 2023 ซึ่งเราทุกคนต่างมีความคาดหวังว่าสถานการณ์จะดีขึ้น แต่จะมีทิศทางเป็นอย่างไร ก็คงต้องดูจากการเปลี่ยนแปลงในรอบปีที่แล้วเป็นรากฐาน
เช่นภาวะเงินเฟื้อที่เกิดขึ้นทั่วโลกซึ่งเป็นผลจากมาตรการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ จนส่งผลให้ธนาคารกลางขนาดใหญ่ของโลก 10 แห่งต้องขึ้นดอกเบี้ยตามจนถือได้ว่าปรับตัวเร็วและแรงที่สุดเป็นประวัติการณ์
หรือจะเป็นสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่เคยคิดกันว่าน่าจะจบได้อย่างรวดเร็ว เพราะแสนยานุภาพของรัสเซียนั้นมากกว่ายูเครนอย่างมหาศาล แต่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะจบลงได้ง่ายๆ และผลพวงของสงครามก็ทำให้ห่วงโซ่อุปทานของหลายอุตสาหกรรมต้องประสบปัญหา
ยิ่งในฤดูหนาวที่ประชาชนต้องการพลังงานไฟฟ้าเพื่อความอบอุ่นแต่หลายประเทศกับต้องเจอกับวิกฤติพลังงาน ตามด้วยวิกฤติด้านอาหารและยา ซ้ำร้ายสภาพภูมิอากาศก็ต้องเจอกับความสุดขั้วจากภาวะโลกร้อนทำให้ประชาชนในหลายประเทศต้องเจอกับภัยหนาวขั้นวิกฤติ
หันมาดูประเทศจีนที่พยายามควบคุมการระบาดอย่างเข้มงวดในช่วงที่ผ่านมา ถึงแม้จะเริ่มผ่อนคลายจนถึงขั้นปลดล็อกให้ท่องเที่ยวได้แล้ว แต่การใช้นโยบายสุดขั้วที่ผ่านมาก็ทำให้การส่งออกสินค้าหลายๆ อย่างสู่ตลาดโลกต้องสะดุดลง
เพราะจีนเคยต้องหยุดการผลิตเป็นระยะๆ เมื่อพบเจอการระบาดของโรคโควิด-19 การป้อนสินค้าไปยังประเทศต่างๆ จึงทำได้ไม่ต่อเนื่องเหมือนในอดีต ซึ่งแน่นอนว่าทำให้หลายประเทศต้องพลอยพบกับภาวะวิกฤติตามมาด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ส่งมอบรถใหม่ให้ลูกค้าได้ล่าช้ามากเพราะห่วงโซ่อุปทานในประเทศจีนมีปัญหา ในขณะที่จีนเองกลับผงาดขึ้นมาในตลาดโลกได้ด้วยยานยนต์ไฟฟ้าหรือรถ EV จึงยิ่งซ้ำเติมให้ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ในสหรัฐอเมริกา ฝั่งยุโรป และญี่ปุ่น ต้องพบกับสถานการณ์การแข่งขันในอนาคตที่ย่ำแย่ลงไปอีก
มาตรการกีดกันทางการค้าจึงถูกนำมาใช้เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศของตน แนวโน้มการเติบโตของโลกไร้พรมแดนที่เกิดขึ้นมานับสิบปีจึงต้องสะดุดลง เพราะแต่ละประเทศต่างก็พยายามหาทางเอาตัวรอดโดยการกีดกันประเทศอื่นและสนับสนุนผู้ผลิตในประเทศให้มากที่สุด
ผลที่เกิดขึ้นก็คือการถดถอยของภาวะโลกไร้พรมแดน ที่แต่เดิมเอื้อให้ธุรกิจระหว่างประเทศเติบโตเป็นหนึ่งเดียวกัน ด้วยการเปิดกว้างให้แต่ละประเทศแสวงหาสินค้าและบริการที่มีต้นทุนที่ต่ำที่สุดแต่มีประสิทธิภาพดีที่สุดได้อย่างเสรี
แต่วันนี้เรามีการกีดกันทางการค้าเกิดขึ้นเหมือนเป็นเรื่องปกติทั่วโลก โดยเฉพาะสหรัฐกับจีน ซึ่งเมื่อประเทศหนึ่งเริ่มต้น ก็ต้องมีอีกประเทศหนึ่งตอบโต้ และแสวงหาประเทศอื่นๆ เป็นแนวร่วมเพื่อผนึกกำลังกัน
เกิดเป็นการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย และไม่ทำให้เศรษฐกิจโลกขยายตัวได้ดีอย่างที่ควรจะเป็น ซึ่งแน่นอนว่าทั้งหมดนั้นก็จะทำให้ปี 2023 ยิ่งผันผวนรุนแรงมากขึ้นไปอีก แต่ผมเชื่อว่าประเทศไทยเราก็ยังคงมีทางออกที่ดีเสมอ ส่วนจะเป็นวิธีใดนั้น ติดตามต่อในตอนหน้าครับ
ต้องขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามกันมายาวนานเกือบสามสิบปี หวังว่าทุกท่านจะได้พบกับปีที่ดี ปีที่เต็มไปด้วยความหวังและมีความสุขสวัสดีตลอดปี 2023 ด้วยครับ