‘เน็ตแอพ’ ยักษ์คลาวด์โลก มอง ‘ไทย’ หมุดหมายใหญ่
"คลาวด์” เป็นหนึ่งในเมกะเทรนด์เทคโนโลยีโลกที่จะมีบทบาทมากขึ้น เป็นโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่มีความสำคัญมาก ตลาดในประเทศไทย มูลค่าใช้จ่ายบริการคลาวด์สาธารณะของไทยเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี ตัวเลขอยู่ที่ราว 4 หมื่นล้านบาท
“คลาวด์” เป็นหนึ่งในเมกะเทรนด์เทคโนโลยีโลกที่จะมีบทบาทมากขึ้น เป็นโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่มีความสำคัญมาก ตลาดในประเทศไทย มูลค่าใช้จ่ายบริการคลาวด์สาธารณะของไทยเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี ตัวเลขอยู่ที่ราว 4 หมื่นล้านบาท โดยเฉพาะภาคธุรกิจ ธนาคาร รัฐบาล และโทรคมนาคม ที่คาดว่า จะเป็นผู้ใช้จ่ายรายใหญ่ที่สุด รวมถึงในกลุ่มค้าปลีกและความบันเทิง
“กรุงเทพธุรกิจ” สัมภาษณ์พิเศษ “ซันเจย์ โรฮัตจี” รองประธานอาวุโสและผู้จัดการทั่วไปของ เน็ตแอพ และเอเชียแปซิฟิก บริษัทซอฟต์แวร์คลาวด์ ยักษ์ใหญ่ของโลกสัญชาติอเมริกัน เล่าว่า ไอดีซี ระบุว่า 65% ของจีดีพีเอเชียแปซิฟิก จะถูกแปลงเป็นดิจิทัลในปี 2565 และตลาดบริการคลาวด์สาธารณะภูมิภาคจะมีมูลค่าสูงถึง 1.65 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2569
ขณะที่เศรษฐกิจดิจิทัลภูมิภาค กำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เทคโนโลยีคลาวด์ จะทำให้องค์กรมีสินทรัพย์ที่ประเมินค่าไม่ได้ ได้แก่ ความยืดหยุ่น ความสามารถในการปรับขนาด และความคล่องตัวในการคิดค้นและสร้างมูลค่าทางธุรกิจ
เปิดยุทธศาสตร์ คลาวด์ ฉบับเน็ตแอพ
เน็ตแอพ เชื่อว่า เทคโนโลยีคลาวด์ จะเข้ามาพลิกโฉมการดำเนินการองค์กรต่างๆ ในยุคดิจิทัลนี้ ซึ่งเน็ตแอพ เป็นบริษัทเดียวที่มีพื้นที่จัดเก็บดั้งเดิม และบริการจัดการข้อมูลระดับไฮเปอร์สเกลเลอร์ชั้นนำระดับโลก รวมถึง AWS, Azure และ Google Cloud ทำให้เน็ตแอพมีอิสระการใช้สภาพแวดล้อมแบบมัลติคลาวด์ด้วยความสม่ำเสมอ เรียบง่าย และยืดหยุ่น ทั้งยังเสริมการจัดเก็บข้อมูลองค์กร ด้วยประสบการณ์ยาวนานถึงสามทศวรรษ
“สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้เรา อยู่ในสถานะที่แข็งแกร่งช่วยองค์กรจัดการความท้าทายด้านการจัดการข้อมูลที่เร่งด่วนที่สุด เช่น ความซับซ้อน ความปลอดภัย และต้นทุน ขณะที่องค์กรกำลังเดินทางไปสู่การเปลี่ยนแปลงระบบคลาวด์และดิจิทัล”
ซันเจย์ บอกว่า เน็ตแอพ มีเป้าหมายชัดเจนในเอเชียแปซิฟิกในอนาคตอันใกล้ คือ การปลดล็อกระบบคลาวด์ที่ดีที่สุดเพื่อช่วยให้องค์กรใช้คลาวด์ได้มากขึ้นด้วยต้นทุนที่น้อยลง ด้วยการทำงานอย่างใกล้ชิดกับลูกค้าและพันธมิตร
“ผมมั่นใจว่าเราจะสามารถปลดปล่อยศักยภาพของเทคโนโลยีดิจิทัลและคลาวด์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ”
ขณะที่ ประเด็น ภัยไซเบอร์ ที่กำลังเป็นภัยคุกคามต่อระบบเทคโนโลยีสมัยใหญ่ เน็ตแอพ มองว่า เมื่อเปรียบเทียบความเร็ว และขนาดการแปลงเป็นดิจิทัลในปัจจุบัน องค์กรต่างๆ ต้องพัฒนาและสร้างนวัตกรรมให้เร็วกว่าที่เคยเป็นมา พร้อมปกป้องข้อมูลจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ได้
“องค์กรจำนวนมากกำลังเปิดรับโมเดลมัลติคลาวด์แบบไฮบริด อย่างไรก็ตาม โมเดลมัลติคลาวด์แบบไฮบริดอาจมีความซับซ้อน มีความเสี่ยง และมีค่าใช้จ่ายสูงในการดำเนินการ”
ซันเจย์ อธิบายต่อว่า เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากไฮบริดมัลติคลาวด์ องค์กรต่างๆ จะต้องทลายไซโล ลดความซับซ้อนของการจัดการ และผสานรวมระบบคลาวด์เข้ากับการดำเนินงานอย่างเต็มรูปแบบ ทั้งในสภาพแวดล้อมภายในองค์กรและบนคลาวด์ หมายความว่าองค์กรต่างๆ จำเป็นต้องไปให้ถึงสถานะคลาวด์ที่พัฒนาแล้ว
มูลค่าทางเศรษฐกิจดิจิทัลไทย
เส้นทางการเติบโตที่ เน็ตแอพ เห็นในเอเชียแปซิฟิกเกิดขึ้นในประเทศไทยเช่นเดียวกัน เทคโนโลยีดิจิทัล สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้มากถึง 2.5 ล้านล้านบาทต่อปีภายในปี 2573 ซึ่งคิดเป็นประมาณ 16% ของ จีดีพีประเทศไทย
ทั้งนี้ เมื่อสภาพแวดล้อมทางธุรกิจแข่งขันสูงขึ้น องค์กรไทยจำเป็นต้องใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัล และข้อมูลอย่างชาญฉลาด เพื่อลดความเสี่ยงต่อการถูกทิ้งไว้ข้างหลัง คำถามคือจะทำอย่างไร ในเมื่อข้อมูลอยู่ในสภาพแวดล้อมไอทีที่หลากหลายในโลกไฮบริดที่ซับซ้อนอย่างในปัจจุบัน
“การสร้างโครงสร้างพื้นฐานมัลติคลาวด์แบบไฮบริดแบบครบวงจรของ เน็ตแอพ ช่วยองค์กรไทย ขจัดอุปสรรคในการแยกข้อมูล และรับประกันว่า ข้อมูลจะถูกส่งไปทุกที่และทุกเวลาที่ต้องการ ตั้งแต่ edge ถึง core ไปจนถึงคลาวด์ซึ่งในทางกลับกัน การมองเห็น การเข้าถึง และการควบคุมข้อมูลได้อย่างครอบคุลมมากขึ้น สามารถช่วยองค์กรจัดการกับข้อมูลได้อย่างเต็มที่เพื่อสร้างนวัตกรรมและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานได้ต่อไป”
เปิดยุทธศาสตร์รุกตลาดในไทย
เมื่อถามว่า กลยุทธ์ การลงทุนของ เน็ตแอพ ในไทยจะให้น้ำหนักในเรื่องไหนเป็นพิเศษ ซันเจย์ บอกว่า นวัตกรรมและการดำเนินงานยังคงเป็นหัวใจสำคัญของเน็ตแอพ เนื่องจากเศรษฐกิจของไทยและเอเชียแปซิฟิกขับเคลื่อนไปอย่างรวดเร็ว การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลและคลาวด์ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลจึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นทางธุรกิจ
ผลศึกษาของ Deloitte เมื่อปี 2565 ยืนยันว่า 95% ของผู้ตอบแบบสอบถามชาวไทย ระบุว่า พวกเขาจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลเพื่อให้สามารถแข่งขันได้
“การปรับให้สอดคล้องเมกะเทรนด์ของอุตสาหกรรมที่ยั่งยืน ช่วยให้เราสามารถนำเสนอนวัตกรรมและโซลูชันที่ตอบสนองความท้าทายทางธุรกิจขององค์กร เราจะลงทุนอย่างต่อเนื่อง ในการพัฒนาแนวทางที่ทันสมัยสำหรับการจัดการข้อมูลและมัลติคลาวด์แบบไฮบริด สิ่งนี้เองทำให้เราสามารถเพิ่มคุณค่าให้ลูกค้าของเราในประเทศไทยและที่อื่นๆ”
ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่ถดถอย เน็ตแอพ มองว่า กระแสลมแรงของเศรษฐกิจโลก นำมาซึ่งความท้าทายให้กับหลากหลายธุรกิจ อย่างไรก็ตาม สำหรับองค์กรต่าง ๆ นี่ถือเป็นหนึ่งในแรงผลักดันที่ดี เพื่อการสร้างแนวคิดใหม่ ๆ และปรับกลยุทธ์การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลขององค์กรต่างๆ
“ด้วยการมุ่งเน้นและการแก้ปัญหาของเรา ที่สอดคล้องกับลำดับความสำคัญเชิงกลยุทธ์ของลูกค้า เราจึงมองเห็นโอกาสที่ดีในระยะยาวสำหรับประเทศไทยและเอเชียแปซิฟิกในอนาคต”
ส่วนความคาดหวังตลาดคลาวด์ในไทยในมุมของของ เน็ตแอพ ยกสถิติล่าสุดจากข้อมูลของ Statista รายได้ของตลาดคลาวด์สาธารณะในประเทศไทยจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 270% ในช่วงปี 2565 ถึง 2570 เป็น 2.75 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งบ่งชี้อย่างชัดเจนถึงแรงผลักดันที่แข็งแกร่งของการนำระบบคลาวด์มาใช้ในประเทศไทย
นอกจากนี้ สภาพแวดล้อมแบบมัลติคลาวด์จะแพร่หลายมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยการคาดการณ์ IDC เน้นย้ำว่า 84% ขององค์กรในเอเชียแปซิฟิกได้นำแนวทางมัลติคลาวด์ไปใช้แล้ว
“หลายองค์กรในไทยและทั่วเอเชียแปซิฟิก ต้องพบกับสภาพแวดล้อมแบบไฮบริดมัลติคลาวด์ที่ซับซ้อน ส่งผลให้ผลประโยชน์เชิงกลยุทธ์คลาวด์ถูกขวาง การจัดการกับความซับซ้อนเหล่านี้ และเพิ่มศักยภาพคลาวด์ให้สูงสุด จะเป็นเป้าหมายสำคัญสำหรับองค์กรต่างๆ ซึ่ง เน็ตแอพ เป็นบริษัทที่อยู่ในตำแหน่ง ที่จะช่วยเหลือองค์กรได้เป็นอย่างดี"
เป้าหมาย คลาวด์ในไทย
สุดท้าย ซันเจย์ มองว่า การเดินทางสู่ระบบคลาวด์ในเบื้องต้นขององค์กรสิ้นสุดลงแล้ว โดยปัจจุบันคลาวด์เป็นแพลตฟอร์มโดยพฤตินัยสำหรับองค์กรส่วนใหญ่ แต่ความท้าทายหลายประการ เช่น ความซับซ้อน ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย และไซโลข้อมูล ทำให้ไม่สามารถทำตามสัญญาได้อย่างเต็มที่
“เป้าหมายของเราในไทย และเอเชียแปซิฟิก คือ ช่วยลูกค้าเปลี่ยนไปสู่ขั้นตอนต่อไปของคลาวด์ที่พัฒนาขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยง เสริมความยั่งยืน และลดต้นทุน ท้ายที่สุดสิ่งนี้จะช่วยให้ลูกค้าของเราเห็นถึงคุณค่าทั้งหมดของคลาวด์ และการลงทุนด้านดิจิทัล มุ่งเน้นที่นวัตกรรมมากขึ้น ผมรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เห็นวิวัฒนาการว่า เราจะสามารถช่วยองค์กรต่างๆ ให้ประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลง และก้าวไปข้างหน้าบนเส้นทางคลาวด์ของพวกเขาได้อย่างไร"