‘บลูบิค’ เดินเกม Synergy ชิงธงสมรภูมิ ‘ดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชัน’
“บลูบิค” กางแผนธุรกิจปี 67 ลุยสร้างซีนเนอร์ยีบริษัทในเครือ บุกตลาดไทย-ต่างประเทศ ตั้งเป้าทำนิวไฮต่อเนื่องเป็นปีที่ 7
KEY
POINTS
- ปีนี้ภาพรวมการลงทุนด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันในประเทศไทยจะเติบโตราว 11%
- แผนธุรกิจปี 67 ลุยสร้างซีนเนอร์ยีบริษัทในเครือ บุกตลาดไทย-ต่างประเทศ
- ตั้งเป้าทำนิวไฮต่อเนื่องเป็นปีที่ 7
ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอน ภาพรวมการลงทุน “ดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชัน” ในตลาดโลก รวมถึงประเทศไทยยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่องแบบ “ดับเบิล ดิจิต”
พชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BBIK ที่ปรึกษาด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันครบวงจร เปิดมุมมองว่า ปี 2567 แม้ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวจะส่งผลกระทบต่อการลงทุนของภาคธุรกิจ แต่ความต้องการด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันยังคงเติบโต
ปัจจัยบวก มาจากการลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ต้องทำอย่างต่อเนื่องและเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และการเลือกใช้เทคโนโลยีเพื่อตอบโจทย์เทรนด์การทำธุรกิจ เพื่อรักษาขีดความสามารถการแข่งขัน ลดความเสี่ยง ค่าใช้จ่าย พร้อมขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตได้ในระยะยาว
ปีนี้เทรนด์เทคโนโลยีที่มาแรงมากที่สุดยังคงเป็นเอไอ โดยเฉพาะ Generative AI ซึ่งได้เห็นว่ามีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกมารายสัปดาห์ และที่จะเติบโตอย่างมากคือ ไซเบอร์ซิเคียวริตี้ โดยภาพรวมมีการคาดการณ์ว่าการลงทุนด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันในประเทศไทยจะเติบโตราว 11%
ลุยขยายฐานลูกค้า 360 องศา
สำหรับบลูบิค แนวทางธุรกิจ ปี 2567 มุ่งขยายฐานลูกค้าแบบ 360 องศา ครอบคลุมทั้งลูกค้าขนาดกลางและขนาดใหญ่ ทั้งในและต่างประเทศ ต่อยอดแผนการซีนเนอร์ยีการทำงานร่วมกันระหว่างบริษัทในเครือที่สร้างความสำเร็จได้อย่างมากในปีที่ผ่านๆ มา โดยเชื่อว่าธุรกิจที่ปรึกษายังอยู่ในช่วงขาขึ้นสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งต่อเนื่อง
“สำหรับธุรกิจที่ปรึกษา การแข่งขันกับรายใหญ่จากต่างชาติ ต้องสร้างจุดต่าง วางตำแหน่ง เป้าหมาย และกลยุทธ์ที่ชัดเจน”
ด้านกลุ่มเป้าหมาย ปักหมุดตลาดที่มีศักยภาพเติบโตสูงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพิ่มโฟกัสตลาดภาครัฐ และมุ่งใช้ประโยชน์จากบริษัทในเครือเพื่อขยายฐานลูกค้าเพิ่ม ผนวกกับแนวโน้มการลงทุนด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันทั่วโลกยังเติบโตถึง 10% หรือราว 2.51 ล้านล้านดอลลาร์ในปีนี้
บลูบิคมีการปรับแผนการดำเนินงานเพื่อให้สอดรับกับการพิจารณาใช้งบประมาณที่เคร่งครัดมากขึ้นของลูกค้า โดย 6 ปัจจัยบวกที่จะช่วยสนับสนุนการเติบโตของบลูบิค ประกอบด้วย 1. แผนบูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างบริษัทย่อยในเครือ เพื่อสร้าง Economy of Scale รวมถึงการเพิ่ม Employee Utilization Rate ของพนักงาน พร้อมทำ Cross-Selling และ Up-Selling ขยายการให้บริการพร้อมผลิตภัณฑ์ผ่านฐานลูกค้าของแต่ละบริษัทในเครือ
2. แผนการเพิ่มรายได้ In-Organic Growth รวมถึงการมองหาดีล M&A ใหม่ๆ เพื่อเสริมแกร่งและใช้ประโยชน์จากเครือข่ายของบริษัทย่อย พร้อมเพิ่มความสามารถในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่เพิ่มมากขึ้น
ปักธง ‘ดิจิทัล อีโคซิสเต็ม’
ขณะที่ 3. แผนขยายตลาดต่างประเทศ มุ่งเน้นเจาะตลาดที่มีศักยภาพสูง อาทิ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่มีแนวโน้มการลงทุนด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมเติบโตต่อเนื่อง 4. ต่อยอดการเติบโตของบริการหลักจากเทรนด์ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน
ไม่ว่าจะเป็น การพัฒนาซอฟต์แวร์แบบ Agile เพื่อสร้าง Hyper Scaling ให้กับองค์กรที่ต้องการสร้างดิจิทัลอีโคซิสเต็มที่มีความยืดหยุ่นสูง และรองรับการเปลี่ยนแปลงของความต้องการทางธุรกิจได้ทุกแง่มุม การมาของ Generative AI ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่ช่วยยกระดับขีดความสามารถให้กับองค์กรในปัจจุบัน
รวมไปถึง เทรนด์การโจมตีทางด้านไซเบอร์ ที่รุนแรงขึ้นจนสร้างความเสียหายให้กับธุรกิจ ที่คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 70% ทั่วโลก ระหว่างปี 2566 - 2571
นอกจากนี้ 5. ปัจจัยบวกจากการได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเต็มปีเพิ่มเติม จากบริษัท วัลแคน ดิจิทัล เดลิเวอรี่ จำกัด (BBVC) และบริษัท อินโนวิซ โซลูชั่นส์ (Innoviz) ที่คาดว่าจะได้รับอนุมัติในครึ่งปีหลังของปีนี้ และ 6. ส่วนแบ่งกำไรปี 2567 เพิ่มขึ้นจากการถือครองหุ้นเพิ่มใน Innoviz จากเดิม 55% (ณ สิ้นปี 2566) เป็น 85% โดยกระบวนการซื้อขายหุ้นเพิ่มคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนก.พ.นี้
ซีอีโอบลูบิคเผยว่า นับวันเผยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและนวัตกรรมก็ยิ่งมีความซับซ้อนและหลากหลายมากยิ่งขึ้น ดังนั้นการให้บริการที่ปรึกษาด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันแบบครบวงจรของบลูบิคถือว่าเป็นข้อได้เปรียบในการแข่งขัน
ยิ่งไปกว่านั้น แผนการข้างต้นไม่เพียงจะสนับสนุนการเติบโตของผลประกอบการ ยังทำให้บลูบิคสามารถรับงานขนาดใหญ่ที่มีความซับซ้อน รวมถึงการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศที่มีศักยภาพได้มากขึ้น
ตั้งเป้า ‘ทำนิวไฮ’ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 7
สำหรับผลประกอบการประจำปี 2566 เติบโตสูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ โดยมีกำไรสุทธิแตะ 303 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 132% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีรายได้อยู่ที่ 1,313 ล้านบาท โต 133% เป็นผลมาจากความต้องการด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันที่ยังเติบโตต่อเนื่อง
แสดงให้เห็นชัดเจนผ่านการเติบโตในส่วนงานด้านบริการที่ปรึกษาเชิงลึกด้านดิจิทัลและพัฒนาเทคโนโลยีภายในองค์กร (Digital Excellence & Delivery) และบริการที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่และการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง (Big Data & Advanced Analytics) รวมถึงความสำเร็จในการดำเนินแผนยุทธศาสตร์การสร้าง Synergy ระหว่างบริษัทในเครือ ที่ทำให้บริษัทฯ สามารถรับงานได้มากขึ้น
ส่วนของผลประกอบการไตรมาส 4 ประจำปี 2566 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 86 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้านี้ และมีรายได้ 372 ล้านบาท เติบโตขึ้น 11%
สำหรับ Backlog ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2566 มีมูลค่าราว 863 ล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้มาจากบลูบิค 709 ล้านบาท และบริษัทร่วมทุนอีก 154 ล้านบาท ในส่วนของบลูบิคเตรียมรับรู้รายได้ในปีนี้ 579 ล้านบาท และที่เหลือจะทยอยรับรู้รายได้หลังจากปี 2567 ขณะที่บริษัทร่วมทุนจะรับรู้รายได้ทั้งหมดในปีนี้
“แม้ต้องเจอกับความท้าทายหลายด้านแต่บลูบิคยังสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง สะท้อนผ่านอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปี ที่อยู่ในระดับสูงถึง 80% นับตั้งแต่ปี 2560 ถึง 2566”
ปีนี้เชื่อมั่นว่า ผลประกอบการจะเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ ตามเป้าหมายที่วางไว้ที่ 50% ขณะเดียวกันทำนิวไฮต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 ซึ่งเป็นผลมาจากอีโคซิสเต็มด้านบริการที่แข็งแกร่ง และแผนการลงทุนในธุรกิจที่เกื้อหนุนซึ่งกันและกันของบริษัทย่อยในเครือ