IBM ถอดรหัส ‘เทรนด์เอไอ’ ผ่านงาน Think 2024 ชี้ทางรอดธุรกิจยุคดิจิทัล
เจาะลึกเทรนด์ AI กำลังมาแรงและมีผลกระทบต่อธุรกิจ พร้อมตัวอย่างการใช้งานจริงในอาเซียน ผ่านเวที IBM Think 2024 คาด ‘ตลาดเอไอไทย’ โต 6.3 หมื่นล้านในปี 2030
ในงาน IBM Think 2024 ที่จัดขึ้น ณ ประเทศสิงคโปร์ บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ระดับโลกอย่าง IBM ได้เปิดเผยข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับแนวโน้มการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของภูมิภาคอาเซียน ภายใต้แนวคิด “Empowering Possibilities with AI” หรือ “เสริมพลังแห่งความเป็นไปได้ด้วย AI” สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทอันทรงพลังของเทคโนโลยี AI ที่กำลังเปลี่ยนโฉมหน้าวงการธุรกิจและเทคโนโลยีในปัจจุบันและอนาคตอันใกล้
ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่า ทั่วโลกจะมีการใช้จ่ายด้าน AI สูงถึง 3 ล้านล้านดอลลาร์ (ประมาณ 108 ล้านล้านบาท) ในช่วงปี 2023-2027 และยิ่งไปกว่านั้น ภายในปี 2030 เทคโนโลยี AI จะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจถึง 16 ล้านล้านดอลลาร์ (ประมาณ 576 ล้านล้านบาท)
ในส่วนของภูมิภาคอาเซียน หลายประเทศกำลังทุ่มงบประมาณมหาศาลให้กับการพัฒนาและประยุกต์ใช้ AI ในหลากหลายภาคส่วน เช่น
- อินโดนีเซีย ประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในอาเซียน คาดการณ์ว่า AI จะสร้างรายได้ให้ประเทศถึง 366 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 13 ล้านล้านบาท)
- มาเลเซีย ตั้งเป้าสร้างโรงงานอัจฉริยะที่ใช้ AI ถึง 3,000 แห่งภายในปี 2030 แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการนำ AI มาปฏิวัติภาคอุตสาหกรรมการผลิต
- สิงคโปร์ ประเทศผู้นำด้านเทคโนโลยีของภูมิภาค ประกาศลงทุนมหาศาลถึง 740 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 26,640 ล้านบาท) ใน AI ในอีก 5 ปีข้างหน้า พร้อมกับแผนการเพิ่มบุคลากรด้าน AI เป็น 15,000 คน
- ไทย คาดการณ์ว่าตลาด AI จะเติบโตอย่างก้าวกระโดดถึง 1,773 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 63,828 ล้านบาท) ในปี 2030
3 แนวโน้มสำคัญของ AI
IBM ได้เผยถึง 3 แนวโน้มสำคัญที่กำลังเปลี่ยนแปลงวงการ AI อย่างมีนัยสำคัญ ไว้ดังนี้
1) โมเดลภาษาขนาดเล็ก (Smaller Language Models: SLM) - “AI ขนาดเล็กลง แต่ฉลาดขึ้น” บริษัทกำลังพัฒนา AI ที่ใช้พลังงานและทรัพยากรน้อยลง แต่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ทำให้ธุรกิจขนาดเล็กสามารถใช้ AI ได้ง่ายขึ้น แม้แต่บนสมาร์ทโฟน เราก็จะเห็นได้ว่าสามารถเข้าถึงเอไอได้มากกว่าเดิม
2) Bring Your Own Foundational Model (BYOM) - “AI ที่ปรับแต่งได้” แนวคิดนี้ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะขององค์กร โดยเปิดโอกาสให้แต่ละบริษัทสามารถปรับแต่ง AI ให้เหมาะสมกับลักษณะธุรกิจและข้อมูลเฉพาะของตน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการใช้งาน
กล่าวให้เห็นภาพมากขึ้น อโณทัย เวทยากร กรรมการผู้จัดการใหญ่ไอบีเอ็ม ประจำประเทศไทยได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับ BYOM ไว้ว่า “องค์กรหลายๆ องค์กรนั้นขาดความเข้าใจเรื่อง เอไอสาธารณะ (Public AI) และ เอไอประจำองค์กร (Private AI) แต่ไปบอกว่าให้พนักงานใช้เอไอ เมื่อพนักงานเอาข้อมูลส่วนตัวของลูกค้าหรือความลับของบริษัทโยนเข้าไปในเอไอเหล่านั้นมันขึ้นไปอยู่บนคลาวด์ที่ใครๆ ก็สามารถเข้าถึงได้
ดังนั้น การใช้เอไอภายในองค์กรอยากให้บริษัทสนใจ Private AI มากขึ้น เพื่อความปลอดภัย และสามารถแก้ไขปัญหา ปรับแต่งให้เข้ากับงานแต่ละด้านขององค์กรได้ถูกจุด”
3) AI ที่มีความรับผิดชอบ (Responsible AI) - “AI ที่น่าเชื่อถือ” แนวโน้มนี้เน้นการพัฒนา AI ที่มีความปลอดภัย โปร่งใส และมีจริยธรรม หรือ “Trust” เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้งานและสังคมโดยรวม
นอกจากนี้ IBM ยังได้เปิดตัวโมเดล AI ใหม่ล่าสุดชื่อ “Granite” ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ธุรกิจโดยเฉพาะ สามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการ มีความน่าเชื่อถือสูง และที่สำคัญคือเปิดเผยซอร์สโค้ดให้นักพัฒนาสามารถนำไปต่อยอดได้
อาเซียนนำ AI ไปใช้จริงมากแค่ไหน?
IBM ยังได้เปิดเผยว่าหลายองค์กรชั้นนำในอาเซียนได้เริ่มนำเทคโนโลยี AI ของบริษัทไปประยุกต์ใช้แล้ว ได้แก่
- ธนาคารกรุงศรีอยุธยาในไทยใช้ AI ช่วยพัฒนาแอปพลิเคชัน
- การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคใช้ AI ในศูนย์บริการลูกค้า ช่วยลดเวลารอสายได้ถึง 80%
- มาเลเซีย บริษัท SMART Modular Technologies ใช้ AI ในการตรวจสอบคุณภาพสินค้าในโรงงาน
- ธนาคาร Bank Islam นำ AI มาช่วยปรับปรุงระบบการเงิน
อย่างไรก็ดี AI กำลังมีบทบาทสำคัญในหลายภาคส่วนของธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้าน HR, Marketing และ IT ที่มีแนวโน้มว่าจะนำเทคโนโลยีใหม่นี้เข้ามาปรับใช้ก่อนเป็นวงการแรก
ด้านทรัพยากรบุคคล (HR) AI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน เช่น การใช้ AI ในการแปลเอกสารหรือปรับแต่งระบบต่างๆ ทำให้พนักงานสามารถทุ่มเทเวลาไปกับงานที่สร้างสรรค์และมีคุณค่ามากขึ้น IBM พบว่าการนำ AI มาใช้ภายในองค์กรสามารถลดต้นทุนด้านทรัพยากรบุคคลได้ถึง 40%
ด้านการตลาด (Marketing) AI ช่วยวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้าได้อย่างลึกซึ้ง ทำให้สามารถสร้างประสบการณ์ที่ตรงใจลูกค้าแต่ละคนได้อย่างแม่นยำ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำการตลาดและสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า
ด้านไอที AI กำลังปฏิวัติวงการการพัฒนาแอปพลิเคชัน ด้วยความสามารถในการทำความเข้าใจโค้ดและโครงสร้างของแอปพลิเคชันเดิม ทำให้สามารถปรับปรุงและพัฒนาแอปพลิเคชันได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม นอกจากนี้ AI ยังสามารถช่วยสร้างโค้ดใหม่ได้อย่างอัตโนมัติ ช่วยลดเวลาและต้นทุนในการพัฒนาซอฟต์แวร์
IBM มองว่า AI กำลังเปลี่ยนแปลงวิธีการทำธุรกิจในอาเซียนอย่างรวดเร็วโดยช่วยให้บริษัทต่างๆ สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ให้บริการลูกค้าได้ดีขึ้น และสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดได้อย่างแม่นยำ
ท้ายที่สุด IBM คาดการณ์ว่าในอนาคตอันใกล้ เราจะได้เห็นการใช้ AI แพร่หลายมากขึ้นในทุกภาคส่วนของสังคมและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียนที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว การเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกองค์กรที่ต้องการความสำเร็จในยุคดิจิทัล