จาก ‘ผู้ผลิตการ์ดจอ’ สู่บริษัทมูลค่าสูงสุดในโลก Nvidia ฟันเฟืองตลาดเอไอ

จาก ‘ผู้ผลิตการ์ดจอ’ สู่บริษัทมูลค่าสูงสุดในโลก Nvidia ฟันเฟืองตลาดเอไอ

เจาะกลยุทธ์การเติบโตของ ‘อินวิเดีย (Nvidia)’ บริษัทที่ปฏิวัติวงการเทคโนโลยีด้วยชิปประมวลผล AI ทำให้บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ทั่วโลกต้องพึ่งพา

หากย้อนกลับไป 5 ปีก่อน คงไม่มีใครคาดคิดว่าบริษัทที่เริ่มต้นจากการผลิตการ์ดจอสำหรับเล่นเกมอย่าง “อินวิเดีย (Nvidia)” จะก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุดในโลก แซงหน้าทั้งแอปเปิล (Apple) และไมโครซอฟท์ (Microsoft) ด้วยมูลค่าหุ้น 3.43 ล้านล้านดอลลาร์ ที่พุ่งทะยานสู่จุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์

อินวิเดียเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1993 ณ เมืองซานตาคลารา รัฐแคลิฟอร์เนีย มีประธานเจ้าหน้าที่บริหารคือ เจนเซน ฮวง (Jensen Huang) บริษัทมีความเชี่ยวชาญในการออกแบบและผลิตการ์ดจอ หน่วย system-on-a-chip (SoC) และผลิตภัณฑ์เซมิคอนดักเตอร์ต่างๆ โดยได้สร้างชื่อเสียงจากการพัฒนาการ์ดจอประสิทธิภาพสูงที่ใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรม ทั้งเกม ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และยานยนต์ไร้คนขับ

ผลิตภัณฑ์แรกของอินวิเดียในปี 1993 คือ “NV1” เป็นตัวเร่งกราฟิก 3 มิติสำหรับคอมพิวเตอร์ PC แม้จะไม่ประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์ แต่ได้วางรากฐานสำคัญให้กับบริษัทและในปี 1999 ก็ได้เปิดตัว “GeForce 256” การ์ดจอรุ่นแรกของโลก นวัตกรรมนี้ทำให้อินวิเดียเข้ามามีบทบาทมากขึ้น และเป็นตัวผลักดันให้บริษัทก้าวขึ้นสู่ “ผู้นำตลาด GPU”

อินวิเดียไม่เคยหยุดนิ่งในการพัฒนา นอกเหนือจากการ์ดจอก็ยังพัฒนาเทคโนโลยีอีกหลายตัวที่พลิกโฉมอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น แพลตฟอร์ม ซอฟต์แวร์ และฮาร์ดแวร์ โดยช่วยอำนวยความสะดวกให้นักพัฒนาสามารถนำไปสร้างสรรค์ผลงาน

จากการ์ดจอสู่หัวใจของเอไอ

ก้าวเข้าสู่ “ยุคเอไอบูม (AI Boom)” ความต้องการชิปประมวลผลสำหรับระบบปัญญาประดิษฐ์ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วโลก อินวิเดียมองเห็นโอกาสประยุกต์ใช้เทคโนโลยีของตนในตลาดใหม่

ทำไม GPU ถึงสำคัญกับเอไอ? — เพราะการฝึกฝนโมเดลเอไอต้องการการประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาลพร้อมกัน ซึ่งเป็นจุดแข็งของ GPU ที่ออกแบบมาเพื่อคำนวณภาพกราฟิกหลายล้านพิกเซลพร้อมกัน

จาก ‘ผู้ผลิตการ์ดจอ’ สู่บริษัทมูลค่าสูงสุดในโลก Nvidia ฟันเฟืองตลาดเอไอ

(cr. bloomberg)

ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์เผยว่า ราคาหุ้นอินวิเดียปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.9% แตะระดับ 139.93 ดอลลาร์ ส่งผลให้มูลค่าตลาดของบริษัทพุ่งแตะ 3.43 ล้านล้านดอลลาร์ แซงหน้าแอปเปิลที่มีมูลค่า 3.38 ล้านล้านดอลลาร์ และทิ้งห่างไมโครซอฟท์ที่มีมูลค่า 3.06 ล้านล้านดอลลาร์ นับเป็นการเติบโตที่น่าทึ่ง เมื่อพิจารณาว่าราคาหุ้นของบริษัทได้พุ่งสูงขึ้นถึง 850% นับตั้งแต่ปลายปี 2022

ปัจจัยเบื้องหลังความสำเร็จครั้งนี้คือ การที่บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ระดับโลกต่างเร่งพัฒนา “ระบบเอไอ” ไม่ว่าจะเป็นไมโครซอฟท์ (Microsoft) อเมซอน (Amazon) และอัลฟาเบท (Alphabet) ที่ทุ่มงบประมาณลงทุนในบริการคลาวด์ หรือเมตา (Meta) ที่นำเอไอมาประยุกต์ใช้ในระบบโฆษณา โดยบริษัทเหล่านี้ล้วนต้องพึ่งพาชิปประมวลผลจากอินวิเดียทั้งสิ้น

เจนเซน ฮวง วางวิสัยทัศน์ให้อินวิเดียเป็นมากกว่าผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ แต่เป็น “Computing platform company” ที่สร้างระบบนิเวศทางเทคโนโลยีผ่านแพลตฟอร์มอย่าง CUDA ที่กลายเป็นมาตรฐานในการพัฒนาเอไอ

“เราไม่ได้แค่ผลิตชิป แต่เรากำลังสร้างรากฐานสำหรับการปฏิวัติด้านเอไอครั้งใหม่” ซีอีโออินวิเดียกล่าวในการประชุมนักลงทุน พร้อมย้ำว่าบริษัทจะยังคงลงทุนในการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

ความสำเร็จของอินวิเดียได้กระตุ้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเอไอทั่วโลก โดยไมโครซอฟท์ทุ่มงบ 50 พันล้านดอลลาร์สร้าง AI Supercomputer โดยใช้ชิปอินวิเดีย ด้านเมตาวางแผนติดตั้ง GPU กว่า 350,000 ตัวภายในสิ้นปี 2024 ขณะที่ กูเกิล คลาวด์ (Google Cloud) ก็เพิ่ม H100 GPU ในบริการของตน

ในด้านการใช้งานจริง ชิปอินวิเดียมีบทบาทสำคัญในการพัฒนา Large Language Models อย่าง GPT-4 รวมถึงการวิจัยด้านยาและการแพทย์ที่ใช้เอไอในสถาบันวิจัยชั้นนำ บริษัทยังสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรผ่านโครงการ Deep Learning Institute และให้การสนับสนุนการวิจัยในมหาวิทยาลัย

ก้าวขึ้นแท่นบริษัทมูลค่าสูง

ฟอลล์ ไอนินา (Fall Ainina) ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของเจมส์ อินเวสต์เมนต์ รีเสิร์ช ( James Investment Research) กล่าวว่า ช่วงหลายไตรมาสที่ผ่านมา นักลงทุนให้ความสำคัญกับเพียงสามตัวเลข นั่นคือ เงินเฟ้อ การจ้างงาน และผลประกอบการของอินวิเดีย

การที่อินวิเดียแซงหน้าแอปเปิลไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นว่าบริษัทเป็นผู้ได้รับประโยชน์รายใหญ่ที่สุดจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเอไอเท่านั้น แต่ยังสะท้อนว่า “ตลาดเชื่อมั่นในกระแสเอไอว่าจะยังคงเติบโตต่อไป”

นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่ารายได้ของอินวิเดียจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในปีงบประมาณปัจจุบัน และจะเติบโตอีก 44% ในปีถัดไป โดยได้แรงหนุนจากการขยายตัวของตลาดเอไอทั่วโลก สะท้อนผ่านยอดขายล่าสุดของบริษัทผลิตชิปรายใหญ่จากไต้หวัน (Taiwan Semiconductor Manufacturing Company : TSMC) รวมถึงความสำเร็จของ โอเพ่นเอไอ (OpenAI) ที่ล่าสุดได้รับการประเมินมูลค่าสูงถึง 157 พันล้านดอลลาร์

ขณะนี้ อินวิเดียกำลังพัฒนา “ชิป Blackwell” รุ่นใหม่ เพื่อรองรับความต้องการประมวลผลเอไอที่ซับซ้อนมากขึ้น แม้จะประสบปัญหาด้านวิศวกรรมจนต้องเลื่อนการเปิดตัวออกไป แต่บริษัทยังคงได้รับความเชื่อมั่นจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม การเติบโตของอินวิเดียส่งผลให้บริษัทมีสัดส่วนถึง 7% ในดัชนี S&P 500 และรับผิดชอบการเติบโตประมาณหนึ่งในสี่ของดัชนีที่เพิ่มขึ้น 21% ในปีนี้ สะท้อนให้เห็นว่าความสำเร็จของบริษัทไม่เพียงส่งผลต่อธุรกิจเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังมีอิทธิพลต่อภาพรวมของตลาดหุ้นทั่วโลก

แม้จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าราคาหุ้นของอินวิเดียอาจสูงเกินจริง แต่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังมองว่าการเติบโตของบริษัทจะยังคงแข็งแกร่ง โดยคาดการณ์ว่ารายได้จะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในปีงบประมาณปัจจุบัน

ความท้าทายสำคัญของอินวิเดียคือ การรักษาความเป็นผู้นำในตลาดที่มีการแข่งขันสูงขึ้น พร้อมๆ กับการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นของตลาดเอไอทั่วโลก

ดังนั้น การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของบริษัทจึงไม่เพียงสะท้อนความสำเร็จในปัจจุบัน แต่ยังเป็นความคาดหวังของตลาดต่ออนาคตของเทคโนโลยีเอไอที่อินวิเดียมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อน

อ้างอิง: BloombergJapan TimesVulture Prime และ Nvidia