โอกาสจากความไม่รู้

โอกาสจากความไม่รู้

การยอมรับความ “ไม่รู้” ของตัวเองแล้วลงมือเปลี่ยนแปลงตัวเองให้รู้เท่าทันความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นถือเป็นแนวทางสำคัญที่ทำให้องค์กรก้าวหน้าต่อไปได้

ยิ่งคนทั้งองค์กรเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ไปด้วยกันก็ยิ่งทำให้มีพลังและตอบรับการเปลี่ยนแปลงได้ทันท่วงทีมากขึ้น

แต่ปัญหาอยู่ที่คนจำนวนไม่น้อยทำตัวเป็น “น้ำเต็มแก้ว” คือคิดว่าตัวเองรู้ดีแล้วและปิดการเรียนรู้ สิ่งใหม่ทำให้ขาดโอกาสพัฒนาตัวเองไปอย่างน่าเสียดาย ซึ่งผลสุดท้ายก็จะตกอยู่กับองค์กรที่ไม่สามารถพัฒนาต่อเนื่องไปได้

การจะพัฒนาให้คนในองค์กรไม่กลัวที่จะยอมรับ “ความไม่รู้” ของตนเองนั้นไม่ใช่เรื่องยาก เริ่มจากแนวทางข้อแรกนั่นคือ องค์กรต้องเปิดโอกาสให้ทุกคนได้เรียนรู้จากสิ่งที่ทำเสมอ

นั่นหมายความว่าองค์กรต้องมีช่องว่างสำหรับความผิดพลาดและเปิดโอกาสให้พนักงานได้เรียนรู้จากความผิดพลาดนั้นๆ

เมื่อใดก็ตามที่องค์กรไม่มีความยืดหยุ่นและไม่มีช่องว่างให้คนในองค์กรได้ลองทำสิ่งใหม่เพราะกลัวผิดพลาด สุดท้ายแล้วคนในองค์กรมักจะไม่ลองทำสิ่งใหม่ ไม่กล้ายอมรับว่าไม่รู้ในเรื่องใดเพราะกลัวว่าคนอื่นจะไม่ยอมรับ สุดท้ายจึงกลายเป็นการกดดันตัวเองทีละน้อยๆ เพราะกลัวที่จะต้องเรียนรู้เรื่องใหม่จนสายเกินไปที่จะเรียนรู้เรื่องอื่นๆ

แนวทางที่สองต้องมองเห็นว่าความรู้นั้นเป็นสิ่งที่ “เติมไม่เต็ม” และไม่มีวันที่เราจะเป็นน้ำเต็มแก้วได้เลย เพราะมีความรู้ใหม่ๆ เกิดขึ้นทุกวัน การที่บอกว่าตัวเองรู้ทุกอย่างดีแล้วจึงเป็นการหลอกตัวเองและปิดโอกาสในการเรียนรู้สิ่งใหม่

ตรงกันข้ามกับคนที่รู้สึกว่าตัวเองยังรู้ไม่เยอะ เขามักแสวงหาคำตอบด้วยการหาคำปรึกษาจากคนรอบข้าง เมื่อเรียนจนรู้แล้วก็ลงมือทำด้วยตัวเอง ผ่านการลองผิดลองถูกจนได้รู้สิ่งใหม่ พัฒนาต่อจนกลายเป็นความเชี่ยวชาญแล้วใช้สร้างโอกาสในอนาคตได้ต่อไป

แนวทางที่สาม เมื่อรู้ว่าเรารู้อะไร และรู้ว่าเราไม่รู้อะไรก็จะทำให้เรามองเห็นจุดอ่อนและจุดแข็งของตัวเอง ซึ่งเรามีโอกาสที่จะหาการสนับสนุนจากผู้อื่นที่เสริมจุดอ่อนของเรา และในเวลาเดียวกันเราก็สามารถใช้จุดแข็งของเราเสริมจุดอ่อนของผู้อื่นได้เช่นกัน

การที่เรามีจุดอ่อนแต่เปิดกว้างให้ผู้อื่นเข้ามาช่วยเสริมเป็นการสร้างโอกาสในทางธุรกิจด้วยการทำงานเป็นทีม เมื่อสำเร็จก็ย่อมเป็นความสำเร็จของทีมงานทั้งหมดซึ่งสามารถเป็นผู้ชนะร่วมกันได้โดยไม่ต้องแข่งขันกัน นับเป็นการใช้ทรัพยากรขององค์กรอย่างคุ้มค่าที่สุด

แนวทางสุดท้ายคือตระหนักว่าการเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด แม้บางเรื่องจะดูเป็นเรื่องไกลตัวและยากที่จะเข้าใจ แต่เราต้องเข้าใจว่าบางเรื่องไม่มีทางที่เราจะเข้าใจทะลุปรุโปร่งได้ในชั่วข้ามคืน เราจึงต้องแบ่งการเรียนรู้ออกเป็นส่วนๆ และตั้งเป้าที่จะเข้าใจมันทีละเล็กทีละน้อย ค่อยสะสมไปเรื่อย ๆ

อย่ากดดันตัวเองว่าต้องเร่งเรียนรู้ทุกอย่างให้เร็วที่สุด เพราะในชีวิตเรายังมีสิ่งต่างๆ ให้เรียนรู้อีกมาก ยิ่งทำงานก็ยิ่งได้เรียนรู้ ยิ่งเรียนรู้ก็ยิ่งได้ลองทำซึ่งก็จะทำให้ได้ประสบการณ์มากขึ้น เป็นการยกระดับตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

การกดดันตัวเองจนมากเกินไปอาจทำให้ท้อใจจนอาจตัดใจไม่อยากเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อีกเลยเพราะเรียนรู้ไม่ทันเพื่อนๆ เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้หลายๆ ครั้งมากขึ้นก็อาจกลายเป็นความฝังใจต่อความรู้ใหม่ๆ และไม่กล้าเปิดใจเรียนรู้อะไรอีกเลย

การเรียนรู้จึงเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และแม้แต่ความไม่รู้ก็ยังช่วยให้เราพัฒนาตัวเองได้ขอเพียงยอมรับมันและค่อยๆ เรียนรู้ไปทีละน้อย