สกสว.จัดเวทีถก “ปัญญาประดิษฐ์” จุดเปลี่ยนหรือจุดจบของมนุษยชาติ

สกสว.จัดเวทีถก “ปัญญาประดิษฐ์” จุดเปลี่ยนหรือจุดจบของมนุษยชาติ

สกสว.เปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนมุมมองด้านปัญญาประดิษฐ์ในหลากหลายมิติ ชี้ไทยมีแนวโน้มการเติบโตมากขึ้นอย่างต่อเนื่องและพร้อมที่จะพัฒนา แต่ต้องเรียนรู้ให้ไวและไม่หยุดเรียนรู้ หยิบฉวยเทคโนโลยีมาใช้หรือสร้างโมเดลเฉพาะกิจของไทยเอง ตอบโจทย์แต่ละด้านอย่างเหมาะสม

รศ.ดร.คมกฤต เล็กสกุล ผู้อำนวยการกลุ่มภารกิจการพัฒนาระบบวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) ด้านกำลังคนและสถาบันความรู้ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (สกสว.) เป็นประธานเปิดการสัมมนาวิชาการ “AI จุดเปลี่ยน หรือจุดจบของมนุษยชาติ” ณ พารากอน ซีนีเพล็กซ์

เพื่อค้นหาคำตอบและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในมิติที่หลากหลาย เพื่อเตรียมพร้อมรับผลกระทบและใช้ประโยชน์จาก AI ให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมถึงเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจและประชาสัมพันธ์บทบาทของกองทุน ววน. ในการพัฒนาศักยภาพกำลังคนด้าน AI ของประเทศ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต

จากข้อกังวลว่าในอนาคตมนุษย์จะถูกแทนที่ด้วย AI หรือไม่ ประเทศไทยจะปรับตัวและเตรียมความพร้อมของกำลังคนและความสามารถในการเข้าถึงเทคโนโลยีของตนเองได้อย่างไร

ผลการดำเนินงานในปี 2563-2565 มีการใช้งบประมาณพัฒนากำลังคนกว่า 400 ล้านบาท/ปี คิดเป็นร้อยละ 3.5 ของกองทุน ววน. โดย AI ไทยได้สร้างกระแสความสนใจ ความรู้และความเข้าใจเบื้องต้นแก่คนทั่วไป

มี AI@Shool ที่พัฒนาเครื่องมือสอน AI พัฒนานวัตกรรม วิศวกร นักวิจัย วิสาหกิจเริ่มต้นด้าน AI ป้อนสู่ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม และหุ่นยนต์ที่ช่วยเหลือแพทย์ตรวจจับความผิดปกติบนภาพถ่ายรังสีทรวงอกให้ทุกคนเข้าถึงบริการแม้ในพื้นที่ห่างไกล

สิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่าไทยมีความพร้อมในการปรับตัวและใช้งานดิจิทัลเทคโนโลยี คือ สร้างมูลค่าเศรษฐกิจได้สูงถึง 1 ล้านล้านบาท ในปี 2654 เป็นอันดับ 2 ของอาเซียน มีการเติบโตของธุรกิจค้าขายออนไลน์ ส่งอาหารและการท่องเที่ยวออนไลน์ และมีแนวโน้มที่จะเติบโตเพิ่มขึ้นในกลุ่มเทคโนโลยีทางการแพทย์ รวมถึงอัตราการใช้จ่ายออนไลน์สูงถึงร้อยละ 92

สกสว.จัดเวทีถก “ปัญญาประดิษฐ์” จุดเปลี่ยนหรือจุดจบของมนุษยชาติ

ความท้าทายคือ แพลตฟอร์มสัญชาติไทยด้านสุขภาพการแพทย์และบริการทางการเงินมีโอกาสจะเข้ามามีบทบาทและได้ส่วนแบ่งตลาด เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญต่อความเข้มแข็งของเทคโนโลยีดิจิทัลสัญชาติไทยก่อนที่จะขยับออกไปในตลาดนอกประเทศ

ด้าน ดร.เทพชัย ทรัพย์นิธิ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) กล่าวว่า การเปลี่ยนผ่านของ AI ทำให้หลายงานเสี่ยงกับการถูกระบบอัตโนมัติทดแทน แต่อีกนานนับร้อย ๆ ปีกว่าที่ AI จะทำได้ดีกว่ามนุษย์

ทั้งนี้มีความต้องการกำลังคนในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมเพื่อส่งเสริมระบบเศรษฐกิจฐาน AI เพิ่มมากขึ้น ในปี 2563-2567 มีความต้องการถึงกว่า 4.7 หมื่นคน จาก 23 สาขาอาชีพ

ซึ่งในปีที่ผ่านมาไทยมีมูลค่าการลงทุนด้าน AI 639 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดิมกว่าร้อยละ 50 โดยมนุษย์มีบทบาทเป็นผู้สร้างและผู้ใช้ทั้งในฐานะเป็นเครื่องมือ เพื่อนร่วมงาน และสมาชิกในครอบครัว

ขณะที่วงเสวนา “ความพร้อมของประเทศและการพัฒนากำลังคนทักษะสูงด้าน AI” ดร.เทพชัยระบุว่า สิ่งสำคัญที่ควรคำนึงคือ จริยธรรมในการใช้ AI ปัจจุบันไทยมีความพร้อมค่อนข้างมาก เห็นได้จากจำนวนผู้เข้าร่วมโครงการ Super AI Engineer ที่ผ่านมาทั้ง 3 รุ่น มีผู้สมัครรวมกว่า 1.5 หมื่นคน มีความหลากหลายทั้งอายุ เพศ การศึกษา และอาชีพ ภาพอนาคตจะมีข้อมูลที่หลากหลายและใช้ AI มากขึ้น

ดร.ชินาวุธ ชินะประยูร ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) กล่าวว่า DEPA ส่งเสริม AI ในภาคอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น แต่ปัญหาคือการผลิตกำลังคนยังไม่เพียงพอที่จะเข้าถึงภาคธุรกิจและเหมาะกับแอปพลิเคชันประเภทใด

สกสว.จัดเวทีถก “ปัญญาประดิษฐ์” จุดเปลี่ยนหรือจุดจบของมนุษยชาติ

รวมถึงต้องส่งเสริมการยกระดับทักษะกำลังคนเฉพาะสาขา เตรียมพื้นฐานด้านข้อมูล โดยหน่วยงานภาครัฐได้แยกตัวออกมาเป็นองค์การมหาชนทั้งด้านสุขภาพและการท่องเที่ยวร่วมกับภาคเอกชน และการทำธุรกิจออนไลน์

ส่วนมุมมองจากภาคเอกชน คุณโอม ศิวะดิตถ์ จากบริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด เผยว่า เทคโนโลยีดิจิทัลที่พัฒนามากขึ้นจะพลิกโฉมจากที่ต้องมีนักวิทยาศาสตร์หรือวิศวกรข้อมูล เป็นคนมีความสามารถรอบด้านมากขึ้น เข้าถึงและสื่อสารให้ AI ทำงานได้โดยใช้โมเดลภาษา

สกสว.จัดเวทีถก “ปัญญาประดิษฐ์” จุดเปลี่ยนหรือจุดจบของมนุษยชาติ

จึงเป็นโอกาสของคนที่มีทักษะภาษาและ AI สามารถแข่งกับโปรแกรมเมอร์ได้ ลูกจ้างต้องมีทักษะ AI วิเคราะห์ตัดสินใจและชั่งน้ำหนักว่าสิ่งที่ AI ทำนั้นถูกต้องเหมาะสมหรือไม่ คนจะอยู่ร่วมกับ AI ได้อย่างชาญฉลาดได้อย่างไร ใครพร้อมจะเรียนรู้ของใหม่ได้เร็วกว่า เราจึงหยุดเรียนรู้ไม่ได้

  ทั้งนี้ การพัฒนาแผน ววน. ด้าน AI นั้น ผู้ร่วมเสวนาเห็นว่าต้องรู้จักหยิบฉวยเทคโนโลยีมาใช้ในประเทศไทย สร้างโมเดลเฉพาะกิจของไทยหรือระบบปฏิบัติการ Open Source ส่งเสริมการพัฒนาหรือสร้างทักษะของกำลังคนในหลายมิติ สามารถใช้ AI แก้ปัญหาและตอบโจทย์ในแต่ละด้านอย่างเหมาะสม รวมทั้งมีราคาถูก เข้าถึงคนได้กว้างขวาง.