เมื่อ AI ขับแท็กซี่ ‘Robotaxi’ ของเทสลา จุดเปลี่ยนอุตสาหกรรมขนส่ง-แรงงาน?

เมื่อ AI ขับแท็กซี่ ‘Robotaxi’ ของเทสลา จุดเปลี่ยนอุตสาหกรรมขนส่ง-แรงงาน?

เทสลาปฏิวัติการเดินทางด้วย Robotaxi เตรียมเปิดตัวแท็กซี่ไร้คนขับ 10 ต.ค. นี้ ณ สตูดิโอของ Warner Bros. เมืองเบอร์แบงก์ รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ การมาถึงของ AI บนท้องถนนจะส่งผลกระทบต่อสังคม แรงงาน และอุตสาหกรรมอย่างไร? กรุงเทพธุรกิจชวนหาคำตอบ

เทสลา (Tesla)” บริษัทผู้นำด้านนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้า กำลังจะเปิดเผยโฉมหน้าอนาคตของการเดินทางในเมือง ด้วยการเปิดตัว “Robotaxi” หรือ “แท็กซี่ไร้คนขับ” ซึ่งคาดว่าจะเปลี่ยนโฉมการคมนาคมเมืองอย่างสิ้นเชิง โดยงานเปิดตัวนี้จะจัดขึ้นในวันที่ 10 ต.ค. 2567 ณ สตูดิโอของ Warner Bros. เมืองเบอร์แบงก์ รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา

เมื่อ AI ขับแท็กซี่ ‘Robotaxi’ ของเทสลา จุดเปลี่ยนอุตสาหกรรมขนส่ง-แรงงาน?

แท็กซี่ไร้คนขับในนามเทสลา

อีลอน มัสก์ (Elon Musk) ซีอีโอผู้มีวิสัยทัศน์ไกลของเทสลาได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติและปัญญาประดิษฐ์มาโดยตลอด โดยมองว่า Robotaxi จะเปลี่ยนโฉมหน้าของการขนส่งในเมืองให้ก้าวไปสู่ยุคใหม่ที่ปลอดภัย สะดวกสบาย และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ในงานเปิดตัวโรงงานเทสลาแห่งใหม่ที่รัฐ Texas มัสก์กล่าวว่า เทสลาจะผลิตรถยนต์เพื่อใช้งานด้าน Robotaxi โดยเฉพาะ ซึ่งจะมาพร้อมกับความล้ำสมัย ดังที่เขาเคยกล่าวไว้ปี 2562 ว่า “จะมีรถยนต์แท็กซี่ไร้คนขับของเทสลาวิ่งอยู่บนท้องถนนจริง” ถึงวิสัยทัศน์นี้อาจดูเป็นเรื่องไกลตัว แต่วันนี้ใกล้ได้เห็นมันเป็นจริงแล้ว

แม้ว่ารายละเอียดของ Robotaxi จะยังคงเป็นความลับ แต่จากข้อมูลที่มีการเปิดเผยออกมา คาดการณ์ว่า Robotaxi จะเป็นยานพาหนะที่ออกแบบมาเพื่อเป็นแท็กซี่ไร้คนขับโดยเฉพาะ ใช้พลังงานไฟฟ้า 100% และมาพร้อมกับเทคโนโลยีขับเคลื่อนอัตโนมัติขั้นสูง ที่สามารถนำพาผู้โดยสารไปถึงจุดหมายได้อย่างปลอดภัยโดยไม่ต้องมีคนขับ

ปูทางเทคโนโลยีใหม่ นำ AI สู่ท้องถนน

ความพิเศษของ Robotaxi ไม่ได้อยู่แค่การไร้คนขับ แต่ยังรวมถึงระบบความปลอดภัยที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ ด้วยการใช้เซนเซอร์หลากหลายชนิด รวมถึงกล้อง เรดาร์ และอาจรวมถึงเทคโนโลยี LIDAR ที่ใช้แสงเลเซอร์ในการตรวจจับสิ่งกีดขวางและวัดระยะทาง ทำให้ Robotaxi สามารถ “มองเห็น” และ “ตัดสินใจ” ได้อย่างแม่นยำในทุกสภาพแวดล้อมการขับขี่

ภายในห้องโดยสารยังถูกออกแบบให้เป็นมากกว่าแค่พื้นที่นั่งธรรมดา แต่เป็นพื้นที่เปิดประสบการณ์แห่งใหม่ เพราะมีระบบเอ็นเตอร์เทนที่ทันสมัย ผู้โดยสารสามารถโต้ตอบกับรถได้ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกเส้นทาง ปรับอุณหภูมิ หรือเพลิดเพลินกับความบันเทิงระหว่างการเดินทาง

นอกจากนี้ มัสก์ยังเปิดเผยว่า โรงงานเทสลาแห่งใหม่ Cybertruck รถยนต์ไฟฟ้า 100% ที่มาในรูปแบบรถกระบะจะถูกผลิตช่วงปี 2566 และหลังจากนั้นโรงงานแห่งนี้จะเริ่มผลิต Roadster รถยนต์ไฟฟ้า 100% ทรงสปอร์ต และ Semi รถยนต์ไฟฟ้า 100% แบบรถหัวลาก

กล่าวโดยสรุปก็คือ มัสก์ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงแค่การผลิต Robotaxi เท่านั้น แต่ยังมีแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์หลากหลายรูปแบบเพื่อครอบคลุมตลาดยานยนต์ไฟฟ้าในทุกระดับ รวมถึงการขยายธุรกิจไปสู่อุตสาหกรรมใหม่ๆ อย่างหุ่นยนต์อีกด้วย 

โดยล่าสุด เขาได้นำหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ดีไซน์คล้ายมนุษย์ปฏิบัติงานภายในโรงงานของเทสลา เพื่อประกอบรถยนต์ไฟฟ้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ผลกระทบของ Robotaxi ต่อแรงงาน-สังคม

การมาถึงของ Robotaxi ไม่เพียงแต่จะเปลี่ยนวิถีการเดินทางของผู้คน แต่อาจส่งผลกระทบต่อโครงสร้างของเมืองในอนาคต เช่น พื้นที่จอดรถ และอาจช่วยลดปัญหาการจราจรติดขัดและมลพิษทางอากาศ เนื่องจากใช้พลังงานไฟฟ้าที่สะอาดและมีการบริหารจัดการการเดินทางที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

อีกมุมหนึ่ง คนขับแท็กซี่จำนวนมากอาจต้องเผชิญกับความเสี่ยงในการสูญเสียงาน เมื่อ Robotaxi เข้ามาแทนที่การขับขี่แบบดั้งเดิม ส่งผลให้พวกเขาต้องปรับตัวครั้งใหญ่ ทั้งการพัฒนาทักษะใหม่ เช่น การดูแลและซ่อมบำรุงยานพาหนะอัตโนมัติ หรือแม้แต่การเปลี่ยนอาชีพไปสู่ด้านอื่นที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีเอไอ

นอกจากผลกระทบทางเศรษฐกิจ ยังมีผลกระทบทางสังคมและจิตวิทยาที่ไม่อาจมองข้าม คนขับแท็กซี่อาจต้องเผชิญกับความเครียดและความไม่มั่นคงในอาชีพ รวมถึงผลกระทบต่อความภาคภูมิใจในอาชีพที่เคยยึดถือมาเนิ่นนาน

การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบเพียงแค่คนขับแท็กซี่ แต่ยังส่งผลต่อสังคมโดยรวม ทำให้ทุกภาคส่วนต้องปรับตัวครั้งใหญ่ เช่น ด้านระบบการศึกษาจำเป็นต้องปรับหลักสูตรเพื่อเตรียมแรงงานสำหรับงานที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีใหม่

ขณะที่ภาครัฐก็ต้องพิจารณาออกนโยบายและกฎหมายใหม่เพื่อควบคุมการใช้งาน Robotaxi รวมถึงมาตรการช่วยเหลือแรงงานที่ได้รับผลกระทบ โครงสร้างพื้นฐานของเมืองก็จำเป็นต้องได้รับการปรับปรุง ทั้งการปรับปรุงถนนและสัญญาณจราจรให้รองรับการใช้งาน Robotaxi รวมถึงการจัดสรรพื้นที่จอดรถใหม่ให้เหมาะสม

ที่สำคัญไม่แพ้กันคือ การเปลี่ยนแปลงทัศนคติของสังคม ทั้งการสร้างความเข้าใจและการยอมรับเทคโนโลยีใหม่ รวมถึงการจัดการกับความกังวลเรื่องความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวที่อาจเกิดขึ้น

ท้ายที่สุด ความท้าทายสำคัญอีกประการหนึ่งคือการสร้างระบบที่ทำให้ Robotaxi สามารถเข้าถึงได้สำหรับทุกกลุ่มในสังคม รวมถึงผู้สูงอายุและผู้พิการ เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมในการใช้บริการ

ความท้าทายของการนำ Robotaxi มาใช้ในประเทศไทย

แม้ว่า Robotaxi จะเป็นนวัตกรรมที่น่าสนใจ แต่การนำมาใช้ในประเทศไทยอาจเผชิญกับความท้าทายหลายประการ เช่น

  1. สภาพการจราจรที่แออัด: โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ อาจไม่เอื้อต่อการทำงานของเอไอในการขับขี่
  2. สภาพถนนที่ชำรุด: อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพและความแม่นยำของระบบ
  3. พฤติกรรมการขับขี่ที่ไม่เป็นระเบียบ: การฝ่าฝืนกฎจราจรอาจเป็นอุปสรรคต่อการทำงานของเอไอ
  4. ผังเมืองที่ซับซ้อน: อาจทำให้ระบบนำทางของ Robotaxi ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ
  5. ราคาที่สูง: อาจเป็นข้อจำกัดในการนำมาใช้อย่างแพร่หลาย

อย่างไรก็ตาม ยังมีความเป็นไปได้ในการนำ Robotaxi มาใช้ในบางพื้นที่ เช่น บนทางด่วน มอเตอร์เวย์ หรือใช้ในการขนส่งสินค้าระยะใกล้

บทสรุป

การมาถึงของ Robotaxi เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของสังคมที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันเพื่อรับมือ ทั้งภาครัฐ ภาคการศึกษา และภาคธุรกิจ จำเป็นต้องเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ เพื่อสร้างสรรค์อนาคตที่ทุกคนสามารถก้าวเดินไปด้วยกันได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน

อ้างอิง: BloombergTechnologyreviewForbes และ TCDC