เปิดเบื้องหลัง ทำไม “ไบเดน” ไม่ไป “ยูเครน” ?

เว็บไซต์ซีเอ็นเอ็นรายงาน  ประธานาธิบดีเซเลนสกีแถลงข่าวจากสถานีรถไฟใต้ดินในกรุงเคียฟเมื่อวันเสาร์ว่า แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ และลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมจะมาถึงกรุงเคียฟในวันอาทิตย์ (24 เม.ย.)

“ผมไม่คิดว่าเป็นความลับกับการที่คนจากสหรัฐมาถึงในวันพรุ่งนี้ รัฐมนตรีต่างประเทศบลิงเคนและรัฐมนตรีกลาโหมกำลังมาหาเรา หวังว่าสถานการณ์ด้านความมั่นคงจะเอื้อให้ประธานาธิบดีสหรัฐมาหาและคุยกับเรา” ประธานาธิบดีเซเลนสกีกล่าวเมื่อวันเสาร์ ซึ่งเขาเรียกร้องให้ประธานาธิบดีไบเดนมากรุงเคียฟตั้งแต่ช่วงแรกๆ ที่รัสเซียรุกรานยูเครน แต่ไบเดนทำได้แค่มาเยือนชายแดนโปแลนด์ที่ติดกับยูเครนเท่านั้น ผิดกับผู้นำยุโรปที่ผลัดกันไปเยี่ยมเยือนกรุงเคียฟ พบปะหารือให้กำลังใจประธานาธิบดีเซเลนสกีด้วยตนเอง อาทิ นายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสันของสหราชอาณาจักร, นายกรัฐมนตรีคาร์ล เนแฮมเมอร์ของออสเตรีย, ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป เออร์ซูลา วอน เดอร์ ไลเอิน, และนายกรัฐมนตรีจากสาธารณรัฐเช็ก โปแลนด์ และสโลวีเนีย  

ไบเดนเองดูจะทราบดีว่า เซเลนสกีต้องการให้เขาไปเยือนกรุงเคียฟ เมื่อวันอังคาร (19 เม.ย.) เจ้าตัวถึงกับบอกเองว่า ยังไม่ทราบว่าจะได้ไปเคียฟหรือไม่

“คำตอบคือ ผมไม่ทราบ” ไบเดนตอบคำถามผู้สื่อข่าวในนิวแฮมเชียร์

ในวันนั้นทำเนียบขาวกล่าวว่า ประธานาธิบดีไบเดนไม่น่าจะได้ไป แต่พวกเขากำลังพิจารณาส่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงไปพบและแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับประธานาธิบดีเซเลนสกีที่กำลังถูกรัสเซียโจมตีภาคตะวันออกของประเทศอย่างหนัก

แหล่งข่าวผู้สันทัดกรณีเผยว่า จากสถานการณ์เป็นไปได้ว่า คนที่จะไปเยือนกรุงเคียฟคือลอยด์ ออสตินและแอนโทนี บลิงเคน ส่วนไบเดนและรองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริส นั้นไม่น่าจะไปด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย

ก่อนหน้านั้นเมื่อวันจันทร์ (18 เม.ย.) เจน ซากี โฆษกทำเนียบขาวย้ำระหว่างแถลงข่าวว่า ไม่มีแผนให้ประธานาธิบดีไบเดนเดินทางไปยูเครน

“แผนการไม่เปลี่ยนแปลง เรายังคงให้ความสำคัญกับการให้ความช่วยเหลือด้านความมั่นคงแก่ประเทศยูเครน รัฐบาลยูเครน และผู้นำยูเครน มากอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน” ซากีกล่าวและว่า หากจะมีเจ้าหน้าที่รัฐบาลสักคนหนึ่งไปเยือนยูเครน ทำเนียบขาวก็จะไม่เปิดเผยข้อมูลก่อนเวลาด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย

ส่วนการเยือนของบลิงเคนและออสตินตามที่ประธานาธิบดีเซเลนสกีให้ข่าวนั้น ทั้งทำเนียบขาวและกระทรวงการต่างประเทศไม่ได้ให้ความเห็นกับซีเอ็นเอ็น