‘มาร์กอส จูเนียร์’ ไม่ยอมดีเบตคู่แข่ง

‘มาร์กอส จูเนียร์’ ไม่ยอมดีเบตคู่แข่ง

เฟอร์ดินันด์ มาร์กอส จูเนียร์ ตัวเก็งประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ปฏิเสธคำท้าดีเบตตัวต่อตัวกับ เลนี โรเบรโด ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายก่อนถึงวันเลือกตั้ง 9 พ.ค.

สำนักข่าวเอเอฟพีรายงาน มาร์กอส จูเนียร์ บุตรชายอดีตผู้นำเผด็จการเฟอร์ดินันด์ มาร์กอส ปฏิเสธคำเชิญร่วมดีเบตกับคู่แข่ง ไม่ค่อยให้สัมภาษณ์สื่อ และมักไม่ตอบคำถามผู้สื่อข่าวในการหาเสียง เพราะไม่อยากซ้ำรอยกับตอนเลือกตั้งชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีเมื่อปี 2559 ที่ถูกสื่อตั้งคำถามเรื่องความรุนแรงและทุจริตในสมัยบิดา ผลการเลือกตั้งตอนนั้นมาร์กอส จูเนียร์พ่ายแพ้โรเบรโดต้องใช้เวลาห้าปีกลับมาเลือกตั้งประธานาธิบดี

ระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งนี้ มาร์กอสจูเนียร์เป็นผู้สมัครเพียงคนเดียวใน 10 คน ที่ไม่ร่วมดีเบตถ่ายทอดทางโทรทัศน์ของคณะกรรมการการเลือกตั้งสองครั้ง ทั้งยังปฏิเสธการร่วมดีเบตจัดโดยซีเอ็นเอ็นฟิลิปปินส์ ล่าสุดโรเบรโดประกาศท้าดีเบตตัวต่อตัว

“ดิฉันเชิญคุณบองบอง มาร์กอส มาร่วมโต้วาทีเพื่อให้ประชาชนฟิลิปปินส์ได้มีโอกาสเจอหน้าเขาแล้วตั้งคำถาม โดยเฉพาะในหลายๆ ประเด็นที่เกี่ยวข้อง เราเป็นหนี้ประชาชนและประเทศของเรา ถ้าเขาตกลง ที่ไหน เมื่อไหร่ก็ได้ ดิฉันจะอยู่ที่นั่น” โรเบรโดกล่าวโดยเรียกชื่อเล่นของมาร์กอสจูเนียร์

นายวิค โรดริเกซ โฆษกมาร์กอส จูเนียร์ กล่าวว่า จะไม่มีการโต้เวทีด้วยเหตุผลหลายประการ แต่เขาไม่เผยรายละเอียด

“เราปราศรัยกับสาธารณชนโดยตรงเพื่อสื่อถึงสารของเราเรื่องความเป็นเอกภาพ” โฆษกกล่าวพร้อมกล่าวหาฝ่ายตรงข้าม “ดีแต่คิดลบ เล่นเล่ห์ และวิพากษ์วิจารณ์”

ก่อนหน้านี้มาร์กอส จูเนียร์ เคยบอกนักข่าวคนหนึ่งว่า “จะไม่กลับไปพูดปัญหาเมื่อ 35 ปีก่อนอีก” ซึ่งหมายถึงข้อกล่าวหาต่อบิดาเรื่องการยักยอกเงินรัฐและการละเมิดสิทธิมนุษยชน

ในการสัมภาษณ์กับซีเอ็นเอ็นฟิลิปปินส์ในสัปดาห์นี้ มาร์กอส จูเนียร์ กล่าว “ไม่ทราบว่าทำไมพวกเขาถึงบอกว่าดักสัมภาษณ์ผมยาก ผมอยู่ในที่สาธารณะเสมอ”

ทั้งนี้ มาร์กอสจูเนียร์เน้นการหาเสียงทางโซเชียลมีเดีย รวมถึงคลิปยูทูบที่ฉายภาพเขาและครอบครัวเป็นคนธรรมดา กลุ่มสนับสนุนมาร์กอสยังระดมโพสต์เฟซบุ๊คด้วยข้อความชวนให้เข้าใจผิดเพื่อปรับภาพลักษณ์ครอบครัวและป้ายสีคู่แข่งสำคัญอย่างโรเบรโด

ผลการสำรวจความคิดเห็นพบว่า มาร์กอส จูเนียร์ มีคะแนนนำโรเบรโดอยู่มาก แต่คะแนนที่ดีขึ้นในโพลล่าสุดทำให้ผู้สนับสนุนโรเบรโดมีความหวังขึ้นมาบ้างว่าการหาเสียงโดยอาสาสมัครจะดึงคะแนนขึ้นมาได้