ดาวโจนส์ปรับตัวขึ้น 264 จุดได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มพลังงาน
ดัชนีดาวโจนส์ ปิดวันอังคาร(7มิ.ย.)ปรับตัวขึ้น 264 จุดเพราะแรงหนุนจากกลุ่มพลังงาน หลังราคาน้ำมันพุ่งสูง ขณะที่นักลงทุนจับตาข้อมูลราคาผู้บริโภคที่มีกำหนดเผยแพร่ในวันศุกร์(10มิ.ย.)
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 264.36 จุด หรือ 0.08% ปิดที่ 33,180.14 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี500 เพิ่มขึ้น 39.25 จุด หรือ 0.95% ปิดที่ 4,160.68 จุด และดัชนีแนสแด็ก เพิ่มขึ้น 113.86 จุด หรือ 0.94% ปิดที่ 12,175.23 จุด
นักลงทุนจับตาดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ในวันศุกร์นี้ หลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งบ่งชี้ว่าเงินเฟ้อของสหรัฐได้ผ่านจุดสูงสุดแล้ว
นอกจากนี้ ตลาดจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 14-15 มิ.ย. โดยคาดว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมดังกล่าว รวมทั้งในการประชุมเดือนก.ค.เพื่อสกัดเงินเฟ้อ
ทั้งนี้ เฟดเริ่มใช้มาตรการปรับลดขนาดงบดุล (Quantitative Tightening : QT) ในเดือนมิ.ย. ตามมติในการประชุมนโยบายการเงินเมื่อวันที่ 4 พ.ค. โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. เฟดจะลดขนาดงบดุลในวงเงิน 4.75 หมื่นล้านดอลลาร์/เดือน และตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. เฟดจะเพิ่มวงเงินในการลดขนาดงบดุลเป็น 2 เท่า สู่ระดับ 9.5 หมื่นล้านดอลลาร์/เดือน
ส่วนการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในวันนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขขาดดุลการค้าสหรัฐลดลง 19.1% สู่ระดับ 8.71 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนเม.ย. หลังจากพุ่งแตะระดับ 1.098 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ทั้งนี้ การนำเข้าลดลง 3.4% สู่ระดับ 3.397 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนเม.ย. ขณะที่การส่งออกเพิ่มขึ้น 3.5% สู่ระดับ 2.526 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
หากพิจารณาตั้งแต่ต้นปี 2565 สหรัฐขาดดุลการค้ามากที่สุดต่อประเทศคู่ค้า 5 ชาติ ได้แก่ จีน เม็กซิโก เวียดนาม แคนาดา และญี่ปุ่น