ดาวโจนส์พุ่ง 641 จุดได้แรงหนุนจากหุ้นเติบโตสูง-กลุ่มพลังงาน
ดัชนีดาวโจนส์ ปิดวันอังคาร(21มิ.ย.)ปรับตัวขึ้น 641 จุด เพราะได้แรงหนุนจากหุ้นเติบโตสูงและกลุ่มพลังงาน หลังจากก่อนหน้านี้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว วอลล์สตรีทดิ่งลงหนัก ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 641.47 จุด หรือ 2.15% ปิดที่ 30,530.25 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เพิ่มขึ้น 89.95 จุด หรือ 2.45% ปิดที่ 3,764.79 จุด และดัชนีแนสแด็ก เพิ่มขึ้น 270.95 จุด หรือ 2.51% ปิดที่ 11,069.30 จุด
หุ้นทุกกลุ่มปรับตัวขึ้นในวันนี้ นำโดยกลุ่มพลังงานตามราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นในตลาดโลกหลังจากตลาดหุ้นนิวยอร์ก ปิดทำการวานนี้ เนื่องในวันจูนทีนธ์ (Juneteenth) ซึ่งเป็นวันรำลึกการสิ้นสุดของการค้าทาสในอเมริกา
ทั้งนี้ ดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลง 4.8% ในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่ดัชนีแนสแด็กรูดลง 4.8% เช่นเดียวกัน ส่วนดัชนีเอสแอนด์พี 500 ร่วงลง 5.8% ทำสถิติทรุดตัวลงมากที่สุดรายสัปดาห์นับตั้งแต่เดือนมี.ค.2563 และได้เข้าสู่ภาวะหมี โดยได้ปรับตัวลงมากกว่า 23% จากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ทำไว้ในเดือนม.ค. ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งอาจทำให้เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอย
นักลงทุนจับตาถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ในสัปดาห์นี้
ทั้งนี้ นายพาวเวลจะกล่าวแถลงการณ์รอบครึ่งปีว่าด้วยนโยบายการเงินและภาวะเศรษฐกิจสหรัฐต่อสภาคองเกรส โดยมีกำหนดกล่าวถ้อยแถลงต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารประจำวุฒิสภาในวันพุธที่ 22 มิถุนายน ก่อนที่จะกล่าวต่อคณะกรรมาธิการบริการการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎรในวันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน
ก่อนการกล่าวถ้อยแถลงดังกล่าว เฟดได้ยื่นรายงานนโยบายการเงินรอบครึ่งปีต่อสภาคองเกรสเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยเฟดส่งสัญญาณว่าจะไม่ปล่อยให้สิ่งใดก็ตามมาขัดขวางความพยายามของเฟดในการต่อสู้กับเงินเฟ้อ
"คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (เอฟโอเอ็มซี) มีความมุ่งมั่น 'อย่างไม่มีเงื่อนไข' ในการรักษาเสถียรภาพของราคา ซึ่งเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นต่อการรักษาตลาดแรงงานที่แข็งแกร่ง" เฟดระบุในรายงาน
การใช้คำว่า "อย่างไม่มีเงื่อนไข" ในรายงานดังกล่าว บ่งชี้ว่าเฟดพร้อมรับความเสี่ยงต่างๆที่อาจเกิดขึ้น เพื่อให้เศรษฐกิจสามารถหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่เลวร้ายกว่าจากการที่เงินเฟ้อไม่สามารถควบคุมได้จนทำให้เศรษฐกิจเกิดความเสียหายในระยะยาว
ทั้งนี้ เอฟโอเอ็มซี มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.75% สู่ระดับ 1.50-1.75% ในการประชุมสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 28 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2537
นอกจากนี้ ในการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) เจ้าหน้าที่เฟดคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยจะแตะระดับ 3.4% ในช่วงสิ้นปีนี้ ซึ่งบ่งชี้ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 1.75% ภายในปีนี้ และคาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 3.8% ในสิ้นปี 2566 และชะลอตัวสู่ระดับ 3.4% ในปี 2567 ขณะที่อัตราดอกเบี้ยระยะยาวอยู่ที่ 2.5%
การที่เฟดส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 1.75% ภายในปีนี้ ทำให้นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในเดือนก.ค. และ 0.50% ในเดือนก.ย. ก่อนที่จะปรับขึ้นเพียง 0.25% ในเดือนพ.ย.และธ.ค.
ส่วนการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในวันนี้ สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ยอดขายบ้านมือสองลดลง 3.4% สู่ระดับ 5.41 ล้านยูนิตในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.2563
เมื่อเทียบรายปี ยอดขายบ้านดิ่งลง 8.6% ในเดือนพ.ค.
ยอดขายบ้านมือสองได้รับผลกระทบจากการพุ่งขึ้นของราคาบ้านและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนอง ขณะที่สต็อกบ้านอยู่ในระดับต่ำ