เจพีมอร์แกนตำหนิการทดสอบ Stress Test ต้นเหตุทำกำไรทรุด

นายไดมอน ให้สัมภาษณ์กับนายเบทซี เกรเซค นักวิเคราะห์ของมอร์แกน สแตนลีย์ในวันพฤหัสบดี (14 ก.ค.) เกี่ยวกับการทดสอบภาวะวิกฤต (Stress Test) ของเฟด ซึ่งเป็นมาตรการที่ครอบคลุมถึงการประเมินว่า ธนาคารต่าง ๆ มีความปลอดภัยที่จะดำเนินการตามแผนการใช้จ่ายเงินทุนหรือไม่ ซึ่งรวมถึงการจ่ายเงินปันผลและการกันสำรองหนี้สูญ

โดยการทดสอบดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้เงินภาษีของประชาชนมาอุ้มธนาคารต่าง ๆ เหมือนในช่วงที่เกิดวิกฤติการเงินปี 2550-2552

"เราไม่เห็นด้วยกับการทดสอบ Stress Test เนื่องจากมีความไม่แน่นอน ไม่โปร่งใส และมีความผันผวนมากเกินไป นอกจากนี้ เฟดยังมีการปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์ตามอำเภอใจ ซึ่งถือเป็นการใช้อำนาจควบคุมภาคธนาคารอย่างเบ็ดเสร็จ" นายไดมอน กล่าว

สำนักข่าวซีเอ็นบีซี รายงานว่า เจพีมอร์แกน ซึ่งเป็นธนาคารขนาดใหญ่ที่สุดของสหรัฐเมื่อพิจารณาจากมูลค่าสินทรัพย์ กำลังเผชิญกับความยากลำบากในการกันสำรองหนี้สูญเพิ่มเติม เพื่อให้เป็นไปตามผลการทดสอบ Stress Test

ในเดือนที่แล้ว ธนาคารรายใหญ่หลายแห่งต้องเพิ่มเงินทุนสำรองจำนวนมาก ซึ่งส่งผลให้เจพีมอร์แกนต้องระงับการจ่ายเงินปันผล ขณะที่ธนาคารรายอื่น ๆ เช่น ซิตี้กรุ๊ป, โกลด์แมน แซคส์ และเวลส์ ฟาร์โก ต่างก็ได้เปิดเผยถึงผลกระทบดังกล่าวเช่นกัน

เจพีมอร์แกน เปิดเผยว่า ธนาคารมีกำไรในไตรมาส 2/2565 ลดลง 28% สู่ระดับ 8.6 พันล้านดอลลาร์ หรือ 2.76 ดอลลาร์/หุ้น ซึ่งต่ำกว่าระดับ 1.19 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือ 3.78 ดอลลาร์/หุ้นในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เนื่องจากธนาคารต้องกันสำรองหนี้สูญจำนวน 428 ล้านดอลลาร์

ทั้งนี้ เจพีมอร์แกนแถลงภายหลังการเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 2 ว่า ธนาคารจำเป็นต้องระงับการซื้อหุ้นคืน ซึ่งสร้างความผิดหวังให้กับนักลงทุน และส่งผลให้ราคาหุ้นเจพีมอร์แกนปิดตลาดร่วงลงเกือบ 3.5% ในการซื้อขายที่ตลาดหุ้นนิวยอร์ก

นายไดมอน กล่าวว่า การทดสอบ Stress Test ของเฟดทำให้ภาคธนาคารขาดประสิทธิภาพในการปล่อยเงินกู้ให้กับตลาด ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชาวอเมริกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มประชาชนที่มีรายได้น้อยซึ่งประสบกับความยากลำบากในการกู้เงิน

"การทดสอบนี้ไม่เป็นผลดีต่อระบบเศรษฐกิจสหรัฐ โดยเฉพาะประชาชนรายได้น้อยที่ต้องยื่นของเงินกู้เพื่อการจำนอง" นายไดมอน กล่าว