75 ปีเอกราชอินเดีย 75 ปีสัมพันธ์การทูตไทย
วันที่ 15 ส.ค.ที่ผ่านมา อินเดียเฉลิมฉลองวาระ 75 ปีเอกราช นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี แถลงกับประชาชนที่ป้อมเรดฟอร์ตในเดลี กระตุ้นให้คนหนุ่มสาว “ตั้งเป้ายิ่งใหญ่” ใช้เวลาช่วงที่ดีที่สุดเพื่อประเทศ
“เราต้องเปลี่ยนอินเดียให้เป็นประเทศพัฒนาแล้วภายใน 25 ปีข้างหน้า ในช่วงชีวิตของเรา นี่คือ ปณิธานอันยิ่งใหญ่ และเราควรมุ่งมั่นไปสู่สิ่งนี้ด้วยพละกำลังทั้งหมดของเรา” นายกฯ อินเดียกล่าว
ในเวลาไล่เลี่ยกันนั้นที่กรุงเทพมหานคร สุจิตรา ดูไร เอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทยก็ได้จัดงานเฉลิมฉลองวาระสำคัญดังกล่าว พร้อมให้สัมภาษณ์พิเศษกับกรุงเทพธุรกิจถึงก้าวต่อไปของอินเดียและความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศ
“เราได้รับเอกราชในวันที่ 15 ส.ค.1947 ค่ะ วันนี้จึงเป็นวันเอกราชปีที่ 76 ของเรา ซึ่ง 75 ปีที่ผ่านมาเป็นเวลาพิเศษมากๆ ที่ต้องเฉลิมฉลอง” ท่านทูตเปิดฉากและอธิบายแคมเปญ Azadi ka Amrit Mahotsav ที่รัฐบาลอินเดียใช้ในโอกาสสำคัญนี้ว่า Azadi หมายถึง เสรีภาพ Amrit แปลว่า ความเป็นอมตะ หมายความถึงช่วงเวลาที่อินเดียจะเดินหน้าสู่ปีที่ 100 ด้วย ส่วน Mahotsav แปลว่า เทศกาลใหญ่ หมายถึงวิธีการที่อินเดียเฉลิมฉลอง ไม่ใช่แค่มีดนตรี เต้นรำหรืองานรื่นเริง แต่เป็นการทำโครงการต่างๆ ที่นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี และรัฐบาลอินเดียทำเพื่อเดินหน้าสู่ 100 ปีอินเดีย
"แคมเปญ Azadi ka Amrit Mahotsav เปิดตัวเมื่อวันที่ 12 มี.ค. 2021 เพื่อรำลึกถึง Dandi March โดยมหาตมะคานธี บิดาแห่งชาติอินเดีย สิ่งที่เขาทำในวันนั้นคือฝ่าฝืนกฎหมายของรัฐบาลอาณานิคม (บริติชราช) ที่ห้ามประชาชนทำเกลือใช้เอง รัฐบาลเป็นผู้ผูกขาดการผลิตและแจกจ่ายเกลือ คานธีรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องเล็กมากๆ แต่เป็นวิธีง่ายๆ ในการฟื้นคืนอธิปไตยของชาติ จึงชวนประชาชนทั่วประเทศเดินขบวนหลายสัปดาห์จากอาห์เมดาบัด รัฐคุชราตที่ตั้งอาศรมของท่านไปยังชายฝั่งที่ดานดี เมื่อไปถึงก็หยิบเกลือกำมือหนึ่งขึ้นมา พวกเขาถูกจับซึ่งสะเทือนใจมากในเวลานั้น แต่เรียกความสนใจจากทั่วโลก รัฐบาลอินเดียตัดสินใจเปิดแคมเปญ Azadi ka Amrit Mahotsav ในวันที่ 12 มี.ค.เพราะเป็นวันสำคัญสำหรับเรา เฉลิมฉลองกัน 75 สัปดาห์" ทูตเล่าถึงความเป็นมาย้อนไปในอดีต ชวนให้คิดว่าคนอินเดียรุ่นใหม่รับรู้เรื่องเอกราชและสิ่งที่บรรพบุรุษของพวกเขาทำไว้ในอดีตอย่างไร เพราะอินเดียได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่อ่อนเยาว์มากในแง่อายุเฉลี่ยประชากร 35 ปีเท่านั้น
"คนหนุ่มสาวส่วนใหญ่ไม่มีประสบการณ์ตรงกับอินเดียยุคอาณานิคม มีแต่ปู่ย่าตายายเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้นในการต่อสู้เพื่ออิสรภาพ เมื่อเราเฉลิมฉลอง 75 ปีสิ่งที่เราทำคือรำลึกถึงการเสียสละครั้งสำคัญในการต่อสู้อันยิ่งใหญ่โดยวีรบุรุษกู้ชาติทั่วประเทศ ไม่เว้นทั้งหัวหน้าชนเผ่า ครอบครัวร่ำรวยมาก ยากจนมาก ผู้หญิง ผู้ชาย เด็ก ยอมแลกทุกอย่างเพื่ออิสรภาพ สิ่งที่คนรุ่นใหม่เรียนรู้คือวิธีการได้มาซึ่งอิสรภาพของอินเดียไม่ได้มาโดยง่ายดาย เป็นการต่อสู้ครั้งใหญ่ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเราทำได้ไม่ใช่เพราะการต่อสู้ด้วยอาวุธ แต่ด้วยวิธีการไม่ใช้ความรุนแรงนำโดยมหาตมะ คานธี เราอยากให้คนรุ่นใหม่รับรู้ตรงนี้"
ทูตเล่าต่อว่าอินเดียเคยเป็นประเทศร่ำรวยที่สุดแห่งหนึ่งของโลกช่วงศตวรรษที่ 18 แต่ตอนได้เอกราชกลับยากจนมากที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง ตลอด 75 ปีที่ผ่านมานับจากนั้นรัฐบาลทุกชุดมีส่วนร่วมสร้างจนอินเดียเป็นประเทศเศรษฐกิจใหญ่อันดับหกของโลก และใหญ่เป็นอันดับสามของโลกในแง่ความเสมอภาคของอำนาจซื้อ “ทั้งหมดนี้เราอุทิศให้กับวีรบุรุษของชาติในวันนั้น” ทูตสุจิตราย้ำ
ปัจจุบันชาวอินเดียเป็นผู้บริหารบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ระดับโลก ลูกหลานชาวอินเดียเป็นรองประธานาธิบดีสหรัฐและเป็นคู่ชิงหัวหน้าพรรคอนุรักษนิยมของอังกฤษที่จะกลายเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปซึ่งทูตสุจิตราอธิบายว่า คนอินเดียอพยพมาหลายชั่วอายุคน ช่วงการปกครองของอังกฤษพวกเขาไปเป็นแรงงานภาคเกษตรในหลายส่วนของโลก คนรุ่นหลังๆ ผสมกลมกลืนและมีส่วนร่วมสร้างความมั่งคั่งให้กับสังคมนั้นๆ อย่างชุมชนชาวอินเดียในประเทศไทยแม้จะเป็นกลุ่มเล็กมากแต่ก็มีส่วนร่วมสร้างเศรษฐกิจไทย เป็นสะพานเชื่อมไทย-อินเดียในแง่เศรษฐกิจ การค้า วัฒนธรรมและอื่นๆ เหมือนกับในหลายส่วนของโลก
ทูตกล่าวด้วยว่า ในแถบแคริบเบียนในมอริเชียส ฟิจิ เคยมีนายกรัฐมนตรีเชื้อสายอินเดีย แม้แต่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างในสิงคโปร์ มาเลเซียก็เคยมีผู้นำเชื้อสายอินเดีย ภาษาทมิฬเป็นหนึ่งในภาษาทางการของอาเซียน ก่อนหน้านี้นายกฯ ไอร์แลนด์ก็เป็นคนเชื้อสายอินเดีย ในอังกฤษมีนักการเมืองเชื้อสายอินเดียหลายคน บรรพบุรุษของพวกเขาอพยพจากอินเดียไปแอฟริกาตะวันออกแล้วมาอยู่อังกฤษ ลงหลักปักฐานที่นั่นแต่ยังมีสายสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมเหนียวแน่นกับอินเดีย
ส่วนผู้บริหารบิ๊กเทคทูตบอกว่า เป็นคนละโจทย์กับนักการเมืองที่บรรพบุรุษอินเดียอพยพไปเมื่อนานมาแล้ว "เหล่าซีอีโอคือผลผลิตของอินเดียโดยแท้ เป็นคนอินเดีย โตในอินเดียและเป็นผลผลิตของการศึกษาอินเดีย หลายคนจบจากสถาบันเทคโนโลยีแห่งอินเดีย (Indian Institute of Technology) อย่างซีอีโอกูเกิล อัลฟาเบต, ไมโครซอฟท์, ทวิตเตอร์ บางคนก็จบ Indian Institute of Management เช่น อินทรา นูยี อดีตผู้บริหาร Pepsico ด้วยการศึกษาที่น่าทึ่งได้สร้างพื้นฐานให้พวกเขา"
แล้วในความเป็นประเทศตอนนี้อะไรคือความท้าทายใหญ่สุดของอินเดีย
"ดิฉันคิดว่าทุกประเทศล่ะค่ะ ไม่ใช่เฉพาะอินเดีย เศรษฐกิจเป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างแท้จริงเพราะโควิด-19 แต่เราทำได้ค่อนข้างดี ทั้งเวิลด์แบงก์และไอเอ็มเอฟคาดว่า เศรษฐกิจของเราจะเติบโต 7.2% ในปี 2566 ปีก่อนเราโตกว่า 8% เราเป็นหนึ่งในเขตเศรษฐกิจหลักที่เติบโตเร็วสุด ณ ขณะนี้ นั่นหมายความว่าพื้นฐานดีมาก" ทูตสุจิตรากล่าวและว่า อินเดียคาดหวังในสองเรื่องคือ ทำเศรษฐกิจให้เติบโตขนาด 5 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งจะเป็นหลักประกันว่าประชาชนพ้นจากความยากจน ตอนนี้อินเดียเป็นประเทศรายได้ปานกลางค่อนข้างต่ำ ก็หวังว่าจะเป็นประเทศรายได้ปานกลางค่อนข้างสูงในเร็วๆ นี้ รวมทั้งทำให้มั่นใจได้ว่ามาตรการสวัสดิการสังคมทุกอย่างถึงมือประชาชน ซึ่งการเปลี่ยนผ่านได้เกิดขึ้นแล้วด้วยโครงการริเริ่มที่เรียกว่า JAM Trinity (Jan Dhan-Aadhaar-Mobile)
จัณฑัณ (Jan Dhan) คือแนวคิดทางการเงินที่ครอบคลุม ทุกคนแม้ยากจนมากก็มีบัญชีธนาคาร ดังนั้นความช่วยเหลือทางสังคมจากรัฐบาลสามารถส่งตรงเข้าบัญชีได้เลย และทุกคนที่อยู่ในอินเดียต้องมีบัตรอัดฮาร์ (Aadhaar) บัตรประชาชนดิจิทัลที่ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงบริการต่างๆ ได้ ส่วน Mobile คือโทรศัพท์มือถือที่อินเดียมีการใช้ค่อนข้างมาก ด้วยกลไกเหล่านี้รัฐบาลจะสร้างการเติบโตที่ครอบคลุมดึงประชาชนเข้าสู่เศรษฐกิจกระแสหลัก พ้นจากความยากจนให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
อีกความท้าทายของอินเดียคือประชากรค่อนข้างเป็นหนุ่มเป็นสาวมาก แน่นอนว่ารัฐบาลต้องจัดหางานให้คนหนุ่มสาวเหล่านี้ จึงเกิดแนวคิดทำอินเดียให้เป็นฮับการผลิต
"วันนี้เช่นกันที่นายกรัฐมนตรีแถลงกับประชาชนที่ป้อมเรดฟอร์ต บอกชัดว่าเป้าหมายหนึ่งที่เราจะทำภายใน 25 ปีข้างหน้า ก่อนที่อินเดียจะครบ 100 ปี คือการทำให้มั่นใจได้ว่าอินเดียเป็นหนึ่งในฮับการผลิต เพราะด้วยวิธีนี้เท่านั้นจึงจะป้องกันเราจากซัพพลายช็อกได้ ในเวลาเดียวกันเราต้องการหลอมรวมกับซัพพลายเชนโลก เป็นซัพพลายเออร์ที่เชื่อถือได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เช่น โควิดระบาด เศรษฐกิจเราก็แข็งแกร่งพอและเดินหน้าได้ไม่ต้องชัตดาวน์ทั้งหมด นั่นคือเป้าประสงค์ การเป็นศูนย์กลางการผลิตยังหมายถึงการจ้างงานจำนวนมากด้วย"
ข้อน่าสังเกตประการหนึ่งในความเป็นอินเดียคือ สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทยตั้งแต่ปีแรกที่ได้เอกราช อดสงสัยไม่ได้ว่าอะไรเป็นปัจจัยสำคัญ
"จริงๆ แล้วบุคคลสำคัญในขบวนการชาตินิยมของเรามาเมืองไทยตั้งแต่ก่อนได้เอกราช เช่น รพินทรนาถ ฐากูร มาพูดที่จุฬาลงกรณ์ ท่านได้ตระหนักถึงมรดกทางวัฒนธรรมที่เจริญรุ่งเรืองและไทยรักษาไว้อย่างดีโดยเฉพาะด้านพุทธศาสนา เช่นเดียวกับเนตาจี สุภาส จันทรโภส หนึ่งในผู้นำคนสำคัญของขบวนการชาตินิยมใช้ไทยเป็นฐานในการทำกิจกรรมหลายอย่าง ผู้ติดตามในไทยจัดระดมทุนซึ่งรัฐบาลไทยในเวลานั้นก็ให้การสนับสนุน เรามีอาศรมไทย-ภารตตั้งแต่ก่อนได้เอกราชก่อตั้งมาครบ 80 ปีเมื่อไม่นานมานี้ นายกรัฐมนตรีคนแรก 'ชวาหะร์ลาล เนห์รู' ก็เคยมาไทยและพูดคุยกับประชาชนที่นี่ เรามีสายสัมพันธ์แบบนี้เสมอมา นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเมื่อเราได้เอกราชเราจึงส่งตัวแทนมาเมืองไทยตั้งแต่ปีแรก"
ทูตขยายความต่อว่า รัฐบาลทุกชุดสานสัมพันธ์อินเดีย-ไทยก้าวไปข้างหน้าด้วยสามเสาหลัก ทั้งเสาหลักด้านพุทธศาสนาที่เป็นสายสัมพันธ์อันแข็งแกร่งระหว่างสองประเทศ เสาหลักด้านวัฒนธรรม เช่น รามายณะ และเสาหลักด้านภาษาบาลี-สันสกฤต เหล่านี้เป็นพื้นฐาน แต่การค้าพาณิชย์ก็เป็นส่วนหนึี่งของความสัมพันธ์
“เราไม่เคยมีปัญหาทวิภาคีระหว่างกัน เป็นความสัมพันธ์ที่ดีมาก มีการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชนกับประชาชน แลกเปลี่ยนด้านการศึกษา ปัจจุบันการท่องเที่ยวมีความสำคัญอย่างมาก เราหวังให้คนไทยไปเที่ยวอินเดียมากขึ้น ตอนนี้ชาวอินเดียเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติอันดับหนึ่งของไทย เราหวังว่าไทยจะส่งคนไปอินเดียมากขึ้นด้วย”
ส่วนสิ่งที่ต้องทำเพิ่ม ทูตสุจิตรามองว่า อินเดียกับไทยควรแลกเปลี่ยนกันมากขึ้นในระดับการเมือง ซึ่งในวันที่ 17 ส.ค.ดร. สุพรหมณยัม ชัยศังกระ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอินเดียมาเยือนไทย
"เรากำลังเข้าสู่ความร่วมมือในสาขาใหม่ๆ เช่น การวิจัยและพัฒนาด้านการแพทย์ ที่ไอไอทีมีการสอนในสาขาที่ทันสมัย เช่น หุ่นยนต์ ยาแบบมุ่งเป้าหมาย ไบโอเทคโนโลยี เอไอ ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ไทยสนใจตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ก็หวังว่านักศึกษาไทยจะสนใจ และเรามีคนหนุ่มสาวที่จะมาฝึกอบรมในอุตสาหกรรมบริการที่ไทยแข็งแกร่งมาก เราอยากเรียนรู้จากความเชี่ยวชาญของไทย รวมถึงด้านเทคโนโลยีอาหาร การแปรรูปอาหาร มีอีกหลายเรื่องที่เราอยากเรียนรู้จากไทยซึ่งจะเป็นประโยชน์ร่วมกันค่ะ"
ก่อนจากกันทูตสุจิตราเล่าถึงเทศกาลอินเดียตะวันออกเฉียงเหนือที่เพิ่งจัดไปว่า มีชาวอินเดียมาร่วมงานกว่า 400 คน ทั้งนักวิชาการ นักธุรกิจ ศิลปิน บริษัททัวร์ ทั้งสองฝ่ายได้พบปะและเรียนรู้ซึ่งกันและกัน “เรารอคอยที่จะทำงานหนักเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น” ทูตอินเดียให้คำมั่น