‘ฝรั่งเศส-ไทย’ สร้างประวัติศาสตร์ ประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค

‘ฝรั่งเศส-ไทย’ สร้างประวัติศาสตร์  ประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค

ท่ามกลางเขตเศรษฐกิจต่าง ๆ กำลังเผชิญวิกฤติโลก รัฐบาลไทยมีความริเริ่มครั้งประวัติศาสตร์ในการเชิญ "เอ็มมานูเอล มาครง" ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ในฐานะแขกของประธาน เพื่อเดินทางมาหารือผู้นำทั้ง 21 เขตเศรษฐกิจเอเปค ภายใต้แนวคิด “เปิดกว้างสร้างสัมพันธ์ เชื่อมโยงกัน สู่สมดุล”

นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่มีการก่อตั้งเอเปคเมื่อปี 2532 ที่ผู้นำประเทศหรือผู้นำรัฐบาลยุโรปได้รับเชิญเข้าร่วมการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ความริเริ่มดังกล่าวอันมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์และสะท้อนวิสัยทัศน์ที่สอดรับกับอนาคตของภูมิภาคนี้ เกิดจากเหตุผล 5 ประการ คือ

1. ฝรั่งเศสไม่ได้เป็นเพียงชาติหนึ่งในยุโรป 

แต่ยังเป็นประเทศอย่างเต็มรูปแบบประเทศหนึ่งในอินโด-แปซิฟิก โดยพลเมืองฝรั่งเศสมากกว่า 1.6 ล้านคน อาศัยอยู่ในดินแดนโพ้นทะเลของฝรั่งเศสซึ่งตั้งอยู่ในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะในแปซิฟิกใต้ นอกจากนี้ เขตเศรษฐกิจจำเพาะ 3 ใน 4 ของฝรั่งเศส ซึ่งใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก ก็ตั้งอยู่ในอินโด-แปซิฟิกเช่นเดียวกัน ฝรั่งเศสดำเนินความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิดกับเขตเศรษฐกิจต่าง ๆ ของเอเปค โดยเฉพาะในด้านการลงทุน ทั้งนี้ ในปี 2564 การลงทุนโดยตรงของฝรั่งเศสในต่างประเทศเกือบ 1 ใน 4 เป็นการลงทุนในหนึ่งเขตเศรษฐกิจเอเปค และการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ 1 ใน 4 ของฝรั่งเศสก็มาจากภูมิภาคเอเปค

 

‘ฝรั่งเศส-ไทย’ สร้างประวัติศาสตร์  ประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค

2. นับตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิปี 2561 ฝรั่งเศสได้ดำเนินยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก 

ซึ่งทำให้ภูมิภาคแห่งนี้กลายเป็นหนึ่งในประเด็นที่มีความสำคัญอันดับแรกทางการทูตของฝรั่งเศส โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับสหภาพยุโรป (อียู) ซึ่งได้จัดทำยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกของตนเมื่อเดือน ก.ย. 2564 ฝรั่งเศสประสงค์ที่จะเสริมสร้างบทบาทของตนในฐานะหุ้นส่วนความร่วมมือในภูมิภาคเพื่อเพิ่มพูนความสัมพันธ์กับหุ้นส่วนทุกฝ่าย เรามุ่งมั่นตั้งใจที่จะทำงานอย่างร่วมมือกันและครอบคลุมในภูมิภาค สนับสนุนระเบียบระหว่างประเทศบนพื้นฐานของกฎหมาย การแข่งขันที่เท่าเทียมและเป็นธรรม ตลอดจนสภาพแวดล้อมทางการค้าและการลงทุนที่เปิดกว้างและยุติธรรม รวมถึงหลักถ้อยทีถ้อยปฏิบัติ การเสริมสร้างความสามารถในการฟื้นตัว พร้อมกับรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และปัญหามลพิษ รวมทั้งสนับสนุนการเชื่อมต่อ

3. จุดเน้นของยุทธศาสตร์ของฝรั่งเศสที่มีต่อภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก 

ในการกระจายความหลากหลายของห่วงโซ่อุปทาน การเชื่อมต่อทางดิจิทัล ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมสอดคล้องอย่างโดดเด่นและชัดเจนกับประเด็นสำคัญของเอเปคที่ไทยเป็นเจ้าภาพ และวิสัยทัศน์ปุตราจายาของเอเปคปี ค.ศ. 2040 ที่จะสร้างภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกที่เปิดกว้าง มีพลวัต พร้อมรับความเปลี่ยนแปลงและมีสันติภาพ เพื่อความรุ่งเรืองของประชาชนทุกคนและคนรุ่นหลังวัตถุประสงค์ภายใต้วาระการเป็นประธานเอเปคของไทยและวัตถุประสงค์ที่ฝรั่งเศสได้ดำเนินการภายใต้กรอบยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกของตนสอดรับกันอย่างมาก และฝรั่งเศสพบความคล้ายคลึงดังกล่าวในวัตถุประสงค์ของเป้าหมายกรุงเทพ ฯ ว่าด้วยเศรษฐกิจ BCG

 

‘ฝรั่งเศส-ไทย’ สร้างประวัติศาสตร์  ประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค

4. ฝรั่งเศสและไทยมีภารกิจร่วมในการรับมือกับผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 

และการรุกรานยูเครนของรัสเซียซึ่งสร้างความเสียหายใหญ่หลวงต่อเศรษฐกิจของหลายประเทศในภูมิภาคนี้ ตลอดจนมีความจำเป็นที่จะต้องฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืนและครอบคลุม ฝรั่งเศสรู้สึกกังวลต่อพลวัตที่เกิดขึ้นในปัจจุบันในภูมิภาคเอเปคซึ่งก่อให้เกิดการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างเข้มข้น ส่งผลให้เกิดความตึงเครียดเพิ่มขึ้นต่อการค้าและห่วงโซ่อุปทาน รวมถึงความมั่นคงปลอดภัยทางเทคโนโลยี แนวโน้มดังกล่าวนี้กำลังเป็นภัยคุกคามเสถียรภาพและความมั่นคงมากขึ้นในภูมิภาคซึ่งจำเป็นต้องอาศัยแนวทางการลดผลกระทบ และนี่คือสิ่งที่ฝรั่งเศสกำลังเสนอ 

ดังที่ประธานาธิบดีมาครงกล่าวตอนหนึ่งในปาฐกถาในการประชุม APEC CEO Summit ว่า ฝรั่งเศสประสงค์ที่จะมีส่วนช่วยให้เกิด “สมดุลของพลวัต” (dynamic balance) ในภูมิภาค เรามองตนเองในฐานะอำนาจที่สร้างสมดุล (balancing power) ซึ่งปฏิเสธแนวคิดขั้วอำนาจ (logic of blocs) และมุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกับหุ้นส่วนในเอเชียในโครงการที่เป็นรูปธรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะกับอาเซียนซึ่งฝรั่งเศสได้รับสถานะหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาเมื่อปี 2563

 

‘ฝรั่งเศส-ไทย’ สร้างประวัติศาสตร์  ประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค

5. การเยือนไทยของประธานาธิบดีมาครงเกิดขึ้นเหมาะสมอย่างยิ่ง

สำหรับความสัมพันธ์สองประเทศ ในห้วงเวลาที่ฝรั่งเศสและไทยกำลังดำเนินความสัมพันธ์ที่มีมาอย่างยาวนานกว่า 300 ปี การเยือนครั้งนี้ถือเป็นโอกาสที่ทั้งสองประเทศจะเดินหน้าความมุ่งมั่นเพื่อกระชับความร่วมมือทวิภาคีให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ตามแผนการ (Roadmap) สำหรับความสัมพันธ์ฝรั่งเศส-ไทย ปี ค.ศ. 2022-2024 ที่ได้ลงนามเมื่อวันที่ 22 ก.พ. 2565 ณ กรุงปารีส เพื่อนำไปสู่การเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างกันภายในปี ค.ศ. 2024 (พ.ศ. 2567) 

ถ้อยแถลงข่าวร่วมของการหารือทวิภาคีระหว่างนายกรัฐมนตรีประยุทธ์ จันทร์โอชา กับประธานาธิบดีมาครง ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 17พ.ย. สะท้อนให้เห็นความมุ่งมั่นทั้งในระดับทวิภาคีและความท้าทายระดับโลก อาทิ การส่งเสริมแนวคิดสุขภาพโลก (Global Health approach) และการปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งเป็น 2 ประเด็นที่ฝรั่งเศสและไทยตกลงที่จะทำงานร่วมกันเพื่อประโยชน์ของทั้งภูมิภาค 

ความร่วมมือนี้เด่นชัดเป็นรูปธรรมในช่วงการเยือนของประธานาธิบดีมาครง จากการที่ไทยเข้าร่วมข้อริเริ่มระหว่างประเทศที่สำคัญ 2 ฉบับ ซึ่งฝรั่งเศสร่วมผลักดัน ได้แก่ ข้อริเริ่ม Preventing Zoonotic Disease Emergence (PREZODE) และกลุ่ม High Ambition Coalition (HAC) for Nature and People อันมีเป้าหมายเพื่อบรรลุความตกลงในการปกป้องคุ้มครองพื้นที่ทางบกและทางทะเลของโลกให้ได้อย่างน้อย30%ของพื้นที่โลก ภายในปี ค.ศ. 2030 (พ.ศ. 2573) ภายใต้กรอบงานความหลากหลายทางชีวภาพของโลกหลังปี ค.ศ. 2020 ซึ่งจะรับรองในการประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ สมัยที่ 15 (COP 15)


 

‘ฝรั่งเศส-ไทย’ สร้างประวัติศาสตร์  ประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค

ฝรั่งเศสและอียูมุ่งมั่นมากกว่าที่เคยเป็นมาที่จะทำงานกับเขตเศรษฐกิจเอเปคตามแนวทางที่ได้วางไว้ในระหว่างการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ที่กรุงเทพฯ ซึ่งไทยเป็นเจ้าภาพ