ผบ.ทัพฟ้าออสเตรเลียหารือซ้อมรบ‘ไทยบูมเมอแรง’ ส.ค.นี้
Air Commander ออสเตรเลีย หารือผู้นำกองทัพอากาศไทย นำF-a 18 Super Hornet ซ้อมรบร่วมกับ F-16 ของไทย เน้นการต่อสู้ทางอากาศระดับไฮเอนด์ ย้ำไทยพันธมิตรสำคัญในภูมิภาค
พลอากาศตรีดาเร็น โกล์ดี้ Air Commander ออสเตรเลีย เผยในงานรำลึกวันอนุสรณ์ทหารผ่านศึกออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ 2566 (วันแอนแซค) ณ ช่องเขาขาด จ.กาญจนบุรี เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาว่า เมื่อวันจันทร์ (24 เม.ย.) ตนได้ประชุมกับผู้นำกองทัพอากาศไทย ถึงการซ้อมรบร่วม “ไทยบูมเมอแรง” ในเดือน ส.ค.นี้ ที่กองทัพออสเตรเลียจะนำเครื่องบิน F-a 18 Super Hornet มาร่วมกับ F-16 ของไทย เน้นการต่อสู้ทางอากาศระดับสูงที่ดูเป็นความพิเศษขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ยังโฟกัสที่ยุทธวิธีการต่อสู้ทางอากาศสมัยใหม่ เช่น พ้นขอบเขตการมองเห็นและความสามารถในการส่งผ่านเป้าหมายระหว่างเครื่องบิน
การซ้อมรบจะเป็นการจำลองฝ่ายแดงกับฝ่ายน้ำเงินต่อสู้กัน เหมือนในเกมหรือกีฬา แต่ละฝ่ายมีทั้งไทยและออสเตรเลีย ทำงานร่วมกันเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
Air Commander กล่าวด้วยว่า ไทยและออสเตรเลียเป็นพันธมิตรทางทหารที่สำคัญในภูมิภาค มีความเชื่อมั่นอย่างมากเหมือนๆ กันในแนวคิดเรื่องอำนาจอธิปไตย ยึดมั่นในกฎหมายและปทัสถานในพื้นที่สู้รบ เมื่อวันจันทร์ รัฐบาลออสเตรเลียเผยรายงาน Defence Strategic Review 2023 ระบุว่า ภูมิภาคนี้มีความซับซ้อนมากขึ้น ดังนั้นองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญคือ
“ทำงานในสภาพแวดล้อมนั้น ทำงานกับพันธมิตร และสำหรับออสเตรเลียไม่มีพันธมิตรใดดีกว่าไทยในภูมิภาคนี้”
สำหรับภัยคุกคามต่อออสเตรเลียและไทย Air Commander อธิบายว่า
สำหรับออสเตรเลีย ภัยคุกคามไม่ใช่ชาติใดชาติหนึ่งโดยเฉพาะ แต่คิดถึงความเสี่ยงต่อเสถียรภาพ
“เราเชื่อมั่นในสันติภาพ อินโดแปซิฟิกที่เสรีและเปิดกว้าง ซึ่งความไร้เสถียรภาพเป็นภัยคุกคามในตัวเองอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องคิดถึงชาติใดชาติหนึ่งหรือกลุ่มประเทศใดประเทศหนึ่งเป็นการเฉพาะ”
ทั้งนี้ ไทยและออสเตรเลียประกาศยกระดับความสัมพันธ์ทวิภาคีสู่ความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ เมื่อวันที่ 13 พ.ย.2563 ทั้งสองฝ่ายมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมปฏิสัมพันธ์และความร่วมมือในด้านการเมืองและความมั่นคง เศรษฐกิจ ตลอดจนสาขาที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตและการพัฒนาอย่างยั่งยืน อาทิ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรม การศึกษา สาธารณสุข เกษตร และสิ่งแวดล้อม และการเชื่อมโยงระหว่างประชาชน ซึ่งนอกจากจะช่วยสนับสนุนการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมหลังโควิด-19 แล้ว ยังจะช่วยส่งเสริมสันติภาพ เสถียรภาพ ความเจริญรุ่งเรือง และความยั่งยืนให้แก่ไทยและออสเตรเลียรวมทั้งในภูมิภาคต่อไป