สรุปซัมมิตทวิภาคี ‘ไบเดน-สี’ ฟื้นแลกเปลี่ยนทางทหาร แต่การค้ายังไม่คืบหน้า
การประชุมสุดยอดทวิภาคีครั้งแรกในรอบปีระหว่างประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐ และประธานาธิบดีจีน สี จิ้นผิง ได้จบลงแล้วเมื่อวันที่ 16 พ.ย. ที่ผ่านมา
สำนักข่าวบลูมเบิร์กระบุว่า มีความสำเร็จเกิดขึ้นพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น หลังจากความสัมพันธ์ของสองมหาอำนาจตึงเครียดขึ้นจนกระทบต่อประเทศเพื่อนบ้านและเศรษฐกิจทั่วโลกไปด้วย
การประชุมครั้งนี้มีการคาดหวังถึงผลลัพธ์น้อยอยู่แล้ว เนื่องจากทั้งสองประเทศมีความเห็นที่แตกต่างกันมากเกินไปในประเด็นใหญ่ๆ เช่น การค้า, ไต้หวัน และสิทธิมนุษยชน และแม้แต่ความสำเร็จที่เล็กน้อยในครั้งนี้ก็ถือว่าได้มาอย่างยากลำบาก
“จีนกับสหรัฐกำลังอยู่ในความสัมพันธ์ที่แข่งขันกัน แต่หน้าที่ความรับผิดชอบของผมก็คือ ทำให้เรื่องนี้อยู่ในกรอบของหลักเหตุผลและสามารถจัดการได้ เพื่อที่จะได้ไม่นำไปสู่ความขัดแย้ง และนั่นคือทั้งหมดที่ผมทำ” ไบเดน แถลงกับผู้สื่อข่าวภายหลังจบการหารือนาน 4 ชั่วโมง
สำหรับความสำเร็จในการเจรจาครั้งนี้อาจสรุปได้ใน 5 ประเด็นหลักๆ ดังนี้
- ร่วมกันแก้ปัญหายา ‘เฟนทานิล’
ทั้งสองประเทศตกลงที่จะกระชับความร่วมมือในการแก้ปัญหายาเฟนทานิล ซึ่งเป็นยาแก้ปวดในกลุ่มโอปิออยด์ที่มีฤิทธิ์สูงและถูกนำไปใช้ในเชิงยาเสพติด โดยมีรายงานผู้เสียชีวิตมากกว่า 150 คนต่อวันในสหรัฐ จากการใช้ยาเกินขนาด
จีนตกลงที่จะปราบปรามการขนส่งยาเฟนทานิลและสารตั้งต้นในการผลิตยา และทั้งสองฝ่ายยังตกลงที่จะเดินหน้าความร่วมมือในเชิงนโยบายและการบังคับใช้กฎหมายด้วย ขณะที่ไบเดนระบุว่าความร่วมมือกันจะช่วยต่อสู้กับการลักลอบผลิตและขนยาเฟนทานิลทั่วโลกด้วย
- ฟื้นการแลกเปลี่ยนทางทหารในระดับสูง
สหรัฐและจีนตกลงที่จะมีการเจรจาแลกเปลี่ยนทางทหารในระดับสูงอีกครั้ง หลังจากที่หยุดชะงักไปนานถึงราว 2 ปี เนื่องจากจีนประท้วงกรณีที่แนนซี เพโลซี อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐเดินทางเยือนไต้หวัน
การแลกเปลี่ยนทางทหารในระดับสูงนั้น จะรวมถึงการที่ผู้บัญชาการทั้งสองฝ่ายสามารถโทรศัพท์สายตรงระหว่างกันได้หากเกิดปัญหาขึ้นเพื่อลดโอกาสความเข้าใจผิดระหว่างกัน รวมถึงมีการประชุมระหว่างรัฐมนตรีกลาโหมและเจ้าหน้าที่ระดับสูงอื่นๆ
- การหารือเรื่องปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ)
ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะตั้งคณะทำงานเพื่อเจรจาเรื่องเอไอ โดยสหรัฐเน้นความจำเป็นเรื่องการปรับปรุงมาตรการด้านความปลอดภัย หลังจากที่วงการเอไอมีการเติบโตอย่างรวดเร็วจนอาจส่งผลกระทบไปยังอุตสาหกรรมอื่นๆ ขณะที่ก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่ระดับสูงรายหนึ่งเปิดเผยว่าทำเนียบขาวกังวลเรื่องการใช้งานเอไอในจีน โดยเฉพาะการใช้เพื่อจุดประสงค์ทางการทหาร
- เพิ่มเที่ยวบินตรงระหว่างกันตั้งแต่ต้นปีหน้า
ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะเพิ่มจำนวนการเดินทางโดยสารทางอากาศระหว่างกันตั้งแต่ช่วงต้นปี 2567 หลังจากที่เที่ยวบินตรงระหว่างสองประเทศซึ่งเคยอยู่ที่เฉลี่ยสัปดาห์ละ 340 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ มีจำนวนลดลงหลังการระบาดของโควิด-19 และยังไม่ฟื้นสู่ระดับปกติในปัจจุบัน
- การแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชน
ทั้งสองประเทศตกลงที่จะให้มีการแลกเปลี่ยนกันระหว่างประชาชน 2 ประเทศให้มากขึ้นในหลายด้าน อาทิ การศึกษา เยาวชน วัฒนธรรม กีฬา และธุรกิจ หลังงจากที่เกิดความตึงเครียดระหว่างกันก่อนหน้านี้ จนกระทบไปถึงการพิจารณาวีซ่าในหลายภาคส่วน ตั้งแต่นักข่าว นักธุรกิจ ไปจนถึงนักเรียนนักศึกษา
ทั้งนี้ภายหลังจบการหารือทวิภาคี ประธานาธิบดีสีได้กล่าวในงานเลี้ยงต้อนรับมื้อค่ำกับคณะนักธุรกิจสหรัฐว่า จีนพร้อมเชิญชวนเยาวชนอเมริกัน 50,000 คน เดินทางเยือนจีนภายใต้โครงการแลกเปลี่ยนและเล่าเรียนในช่วง 5 ปีข้างหน้า เพื่อเพิ่มการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชนสองประเทศ โดยเฉพาะระหว่างเยาวชน
ทั้งนี้บลูมเบิร์กระบุว่า ยังมีอีกหลายประเด็นสำคัญที่ยังไม่มีความคืบหน้า เช่น การที่สหรัฐออกกฎห้ามการส่งออกไมโครชิป การตั้งกำแพงภาษี ไปจนถึงความตึงเครียดในทะเลจีนใต้ ขณะที่ฝั่งจีนก็ยังไม่มีความคืบหน้าในข้อตกลงใดๆ ที่จะช่วยในการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนที่กำลังอ่อนแรง
มีรายงานว่าระหว่างการแถลงข่าวหลังจบการหารือทวิภาคี ประธานาธิบดีไบเดนได้ใช้คำเรียกผู้นำจีนในตอนหนึ่งว่าเป็น “ผู้นำเผด็จการ” เนื่องจากระบบบริหารของจีนแตกต่างอย่างสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับสหรัฐ ซึ่งไม่ใช่ครั้งแรกที่ไบเดนใช้คำนี้ถึงผู้นำจีน
อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีสีได้ถือโอกาสสื่อสารโดยตรงกับบรรดานักธุรกิจสหรัฐเพื่อดึงดูดการเข้ามาลงทุนในจีน ในงานเลี้ยงอาหารค่ำภายในวันเดียวกัน ซึ่งมีบรรดาผู้บริหารและซีอีโอของบริษัทชั้นนำในสหรัฐอย่าคับคั่ง อาทิ “ทิม คุก” ซีอีโอของบริษัทแอปเปิล อิงค์ และ “แลร์รี ฟิงก์” ซีอีโอของกองทุนแบล็กร็อก
ซินหัวรายงานว่า ประธานาธิบดีสีได้กล่าวตอนหนึ่งในงานเลี้ยงอาหารค่ำว่า “เพื่อควบคุมเรือลำยักษ์ของความสัมพันธ์จีน-สหรัฐ ให้รอดพ้นโขดหินและสันดอนที่ซ่อนเร้น จำต้องตอบคำถามพื้นฐานอันครอบคลุมข้อหนึ่งว่า เราเป็นศัตรูหรือหุ้นส่วนกัน”
ทั้งนี้ ประธานาธิบดีจีนชี้ว่าจีนพร้อมเป็นหุ้นส่วนและมิตรของสหรัฐ โดยหลักการพื้นฐานที่จีนปฏิบัติตามในการจัดการความสัมพันธ์จีน-สหรัฐ คือการเคารพซึ่งกันและกัน การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ และความร่วมมือที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์
“สำหรับประเทศขนาดใหญ่อย่างจีนและสหรัฐนั้น การหันหลังให้กันและกันไม่ใช่ทางเลือกที่เหมาะสม” สีกล่าวในการเปิดการประชุม “โลกใบนี้มีความกว้างใหญ่มากเพียงพอที่ทั้งสองประเทศจะประสบความสำเร็จได้”