'อิหร่าน' ยึดเรือบรรทุกน้ำมัน เพิ่มความตึงเครียดในทะเลแดง
อิหร่านเข้ายึดเรือบรรทุกน้ำมัน อ้างเคยถูกสหรัฐปล้นน้ำมันไปก่อน ส่งผลให้สถานการณ์ในทะเลแดงและตะวันออกกลางยิ่งตึงเครียดขึ้น หลังจากสหรัฐนำพันธมิตรเปิดฉากถล่มกบฏฮูตีถึงเยเมน
สื่ออิหร่านรายงานว่า กองทัพเรืออิหร่านได้เข้ายึดเรือเซนต์นิโคลาส (St. Nikolas) ในอ่าวโอมาน เมื่อวันที่ 11 ม.ค. โดยเป็นเรือบรรทุกน้ำมันซึ่งอิหร่านเคยมีข้อพิพาทกับสหรัฐเมื่อเดือน ต.ค.2566 หลังสหรัฐกล่าวหาว่าเรือเซนต์นิโคลาสได้ละเมิดคำสั่งคว่ำบาตรของสหรัฐด้วยการขนส่งน้ำมันของอิหร่าน ทำให้เรือดังกล่าวต้องยอมให้สหรัฐยึดน้ำมันดิบของอิหร่านที่อยู่ในเรือ
เหตุการณ์ครั้งนั้นสร้างความไม่พอใจต่อทางการอิหร่าน โดยระบุว่าการกระทำดังกล่าวของสหรัฐถือเป็นการปล้นน้ำมันของอิหร่าน จนนำมาสู่การยึดเรือเซนต์นิโคลาส
ทางด้านกองบัญชาการกลางกองทัพเรือสหรัฐ ออกแถลงการณ์ระบุว่า กองทัพเรือของอิหร่าน (IRIN) ได้ใช้กำลังบุกเข้ายึดเรือเซนต์นิโคลาส สัญชาติหมู่เกาะมาร์แชล ระหว่างที่กำลังแล่นเรืออยู่ในเขตทะเลหลวงของอ่าวโอมาน เพื่อมุ่งหน้าไปยังท่าเรืออะเลียกาของตุรกี เมื่อวันที่ 11 ม.ค.
"การกระทำของอิหร่านถือเป็นการขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศและคุกคามความมั่นคงและเสถียรภาพทางทะเล" พลเรือโทแบรด คูเปอร์ แห่งกองบัญชาการกลางกองทัพเรือสหรัฐ และผู้บัญชาการกองเรือที่ 5 ของสหรัฐกล่าว
ทั้งนี้ เรือเซนต์นิโคลาสมีลูกเรือเป็นชาวฟิลิปปินส์ 18 คน และชาวกรีก 1 คน และได้ถูกอิหร่านยึดเรือขณะที่กำลังเดินทางไปยังท่าเรืออะเลียกาของตุรกี เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 11 ม.ค. หลังจากที่บรรทุกน้ำมันดิบจากอิรัก ล่าสุดเรือลำดังกล่าวกำลังมุ่งหน้าสู่น่านน้ำของอิหร่าน
'สหรัฐ-อังกฤษ' เปิดฉากถล่มฮูตีทั่วเยเมน
สหรัฐและพันธมิตรเปิดการโจมตีทางอากาศพุ่งเป้ากบฏฮูตีมากกว่า 12 จุดในเยเมน เจ้าหน้าที่สหรัฐรายหนึ่งเผยว่า การโจมตีของกองกำลังอเมริกันและอังกฤษใช้เครื่องบินรบจากเรือบรรทุกเครื่องบินยูเอสเอส ไอเซนฮาวร์, ขีปนาวุธยิงโทมาฮอว์กยิงจากเรือดำน้ำ และเรือผิวน้ำ ทำลายสถานีเรดาร์ คลังยุทโธปกรณ์ และเครื่องยิงขีปนาวุธ ได้ยินเสียงระเบิดหนักหน่วงดังขึ้นในกรุงซานาและเมืองท่าอัล ฮูเดย์ดาห์
“การโจมตีแบบมีเป้าหมายเหล่านี้ถือเป็นการส่งสารอย่างชัดเจนว่า สหรัฐและพันธมิตรจะไม่ยอมทนกับการโจมตีบุคลากรของเรา หรือการเปิดทางให้ตัวแสดงมุ่งร้ายมาทำลายเสรีภาพการเดินเรือในเส้นทางการค้าที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก” ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ระบุ
พันธมิตรอันประกอบด้วยออสเตรเลีย, บาห์เรน, แคนาดา, เดนมาร์ก, เยอรมนี, เนเธอร์แลนด์, นิวซีแลนด์, เกาหลีใต้, สหราชอาณาจักร, และสหรัฐออกแถลงการณ์ร่วมเมื่อวันพฤหัสบดี (11 ม.ค.) หลังการโจมตีทางอากาศพุ่งเป้าฮูตีในเยเมนโดยสหรัฐและอังกฤษ ระบุเป้าหมายทำไปเพื่อสร้างเสถียรภาพให้กับเส้นทางเดินเรือในทะเลแดง
ราคาน้ำมันโลกพุ่งกว่า 2% ทะลุ 79 ดอลลาร์
สถานการณ์ดังกล่าวทำให้ราคาน้ำมันโลกพุ่งขึ้นไปกว่า 2% ทันที โดยเฉพาะสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ขึ้นไปเกือบ 79 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ก่อนจะค่อยๆ ปรับตัวลงมา หลังได้ปัจจัยลบอย่างดัชนีเงินเฟ้อของสหรัฐที่ปรับตัวแรงขึ้น และรายงานข่าวว่าจีนจะนำเข้าน้ำมันจากซาอุดิอาระเบียน้อยลง ส่งผลให้สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ปิดตลาดวันที่ 11 ม.ค. บวกไป 0.91% ปิดที่ 72.02 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (Brent) บวก 0.79% ปิดที่ 77.41 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันดิบกลับมาพุ่งขึ้นอีกครั้งกว่า 2% ในการซื้อขายที่ตลาดเอเชียเมื่อวันศุกร์ที่ 12 ม.ค. โดยสัญญาเวสต์เท็กซัส บวก 2.4% ไปอยู่ที่ 73.75 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และเบรนท์ บวก 2.25% ไปอยู่ที่ 79.15 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล