IMF ปรับขึ้นจีดีพีไทยปีนี้โต 4.4% ผลการเร่งเครื่องมาตรการระยะสั้น
'ไอเอ็มเอฟ' เปิดเผยผลการประชุมหารือกับประเทศไทย ปรับขึ้นคาดการณ์จีดีพีปีนี้โต 4.4% จากที่เคยคาดการณ์ไว้ 3.2% ผลมาตรการกระตุ้นทางการคลังระยะสั้นก่อนเครื่องดับปี 68
Key Points
- ไอเอ็มเอฟมองเศรษฐกิจไทยปี '67 เร่งเครื่องได้ช่วงสั้น โต 4.4% จากคาดการณ์เดิมที่ 3.2% โดยมีปัจจัยมาตรการกระตุ้นทางการคลังเป็นหลัก
- คาดการบริโภคที่เติบโตแรง 6% จะหนุนเงินเฟ้อปีนี้โตตามเป็น 1.7% แต่ยังอยู่ในกรอบเงินเฟ้อของ ธปท.
- เตือน 3 ปัจจัยเสี่ยงภายใน: การขาดวินัยการคลัง, หนี้ภาคเอกชนพุ่งสูง, การพึ่งพาการท่องเที่ยวมากเกินไป
- แนะมีวิธีที่ดีกว่าการใช้มาตรการกระตุ้นระยะสั้น หากจะแก้ปัญหาความยากจน และเหลื่อมล้ำ
คณะกรรมการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เปิดเผยผลการประชุมหารือ (Article IV Consultation) กับประเทศไทย ประจำปี 2566 โดยมีผลดังนี้
การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยกำลังสูญเสียโมเมนตัมท่ามกลางอัตราเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลง กิจกรรมทางเศรษฐกิจขยายตัว 2.6% ในปี 2565 แต่การเติบโตชะลอตัวลงเป็น 1.9% ในไตรมาสที่ 1-3 ปี 2566 แม้ว่าการบริโภคภาคเอกชนที่แข็งแกร่งจะได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวก็ตาม เนื่องจากเศรษฐกิจกำลังเผชิญกับอุปสรรคจากอุปสงค์ภายนอก และการลงทุนในประเทศที่อ่อนแอ อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลงในเดือน พ.ย.2566 เนื่องจากผลกระทบพื้นฐานของราคาพลังงาน และอาหาร การใช้นโยบายการเงินตึงตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป และการขยายเวลาการอุดหนุนราคาพลังงาน
ดุลบัญชีเดินสะพัดที่ขาดดุลในปี 2565 สะท้อนถึงราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้น และอุปสงค์ภายนอกที่ชะลอตัวลง ณ สิ้นเดือนก.ย.2566 ดุลบัญชีเดินสะพัดกลับมาเกินดุลเล็กน้อยโดยได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวที่เข้ามาประเทศไทย ต้นทุนการขนส่งที่ลดลง และการนำเข้าที่ลดลงเมื่อเทียบกับการส่งออก คาดว่าการฟื้นตัวในปี 2566 จะยังคงไม่สดใสนัก ก่อนจะเร่งเครื่องขึ้นได้ในปี 2567 โดยคาดว่าจีดีพีที่แท้จริงจะเติบโต 2.5% ในปี 2566 โดยได้รับแรงหนุนจากการส่งออกภาคบริการและการบริโภคภาคเอกชนที่เร่งตัวขึ้นในไตรมาส 4 ปี 2566 ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าจะอยู่ที่เฉลี่ย 1.3%
สำหรับการเติบโตในปี 2567 เป็นที่คาดว่าจะเร่งตัวขึ้นได้ในช่วงสั้นๆ เนื่องจากอุปสงค์ภายนอกที่ปรับตัวดีขึ้นและการขยายตัวอย่างแข็งแกร่งของการบริโภคภาคเอกชน โดยได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นทางการคลังของรัฐบาล ซึ่งภายใต้อุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นนี้ คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะเร่งตัวขึ้นเล็กน้อยในปี 2567 แต่ยังคงอยู่ในกรอบเป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศไทย
ขณะที่ดุลบัญชีเดินสะพัดคาดว่าจะเกินดุลเล็กน้อยในปี 2566 และเกินดุลเพิ่มขึ้นอีกในปี 2567 เนื่องจากการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของรายได้จากการท่องเที่ยว และต้นทุนการขนส่งสินค้าที่ลดลง ช่วยชดเชยด้านการส่งออกสินค้าที่ชะลอตัวลง
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศไทย จะถูกกดดันจากความเสี่ยงด้านลบทั้งภายใน และภายนอก การฟื้นตัวของเศรษฐกิจขึ้นอยู่กับปัจจัยเสี่ยงภายนอก ซึ่งรวมถึงการชะลอตัวอย่างกะทันหันของเศรษฐกิจโลก รวมถึงใน "จีน" การเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ภาวะทางการเงินทั่วโลกที่ตึงตัวกว่าที่คาดไว้ และการแตกแยกทางเศรษฐกิจออกเป็นขั้วที่รุนแรงขึ้น
ส่วนปัจจัยเสี่ยงภายในประเทศจะเพิ่มความไม่แน่นอนต่อเศรษฐกิจไทย เนื่องจาก "การขาดวินัยทางการคลัง" อาจบ่อนทำลายเสถียรภาพของเศรษฐกิจมหภาค "หนี้ภาคเอกชนที่สูงขึ้น" จะเป็นภัยคุกคามต่อเสถียรภาพทางการเงิน และ "การพึ่งพาการท่องเที่ยวมากเกินไป" จะเพิ่มความเสี่ยงของประเทศไทยต่อผลกระทบจากปัจจัยภายนอก
ผลการประเมินของไอเอ็มเอฟ
คณะกรรมการไอเอ็มเอฟแสดงความยินดีกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยหลังวิเผชิญวิกฤติการระบาดของโควิด-19 และชื่นชมหน่วยงานของไทยที่สามารถรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจมหภาคได้ท่ามกลางปัจจัยกระทบหลายครั้ง
อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของไทยเป็นไปได้ช้ากว่าประเทศอื่นๆ ในอาเซียน และแนวโน้มเศรษฐกิจก็ยังคงไม่แน่นอนโดยมีความเสี่ยงขาลง ด้วยพื้นที่ทางการคลังที่จำกัด และจุดอ่อนเชิงโครงสร้างที่มีมายาวนาน ไอเอ็มเอฟจึงสนับสนุนให้ทางการไทยยังคงดำเนินนโยบายปกติแบบค่อยเป็นค่อยไป ในระยะเวลาอันใกล้นี้ ขณะเดียวกันก็ดำเนินการปฏิรูปโครงสร้างที่เข้มข้นเพื่อเพิ่มผลผลิต และการเติบโตที่มีศักยภาพ และสร้างความยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศไปด้วย
ไอเอ็มเอฟรับทราบถึงมาตรการนโยบายระยะสั้นของรัฐบาลเพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่เพื่อพิจารณาบนจุดยืนทางการคลังที่เป็นกลางแล้ว การสนับสนุนกลุ่มเปราะบางอย่างยั่งยืน และมีเป้าหมายชัดเจน ผ่านการใช้โครงข่ายความปลอดภัยทางสังคมที่เพิ่มขึ้น และการใช้ระบบภาษีที่ก้าวหน้าขึ้น อาจเหมาะสมกว่าสำหรับการบรรลุวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจน และความเหลื่อมล้ำ
ทั้งนี้ทางการไทยเห็นพ้องกันว่ายุทธศาสตร์การคลังระยะกลางควรมุ่งเป้าไปที่แนวทางการลดหนี้สาธารณะ ในขณะเดียวกัน ก็ให้พื้นที่ทางการคลังสำหรับการลงทุนในทุนมนุษย์และทุนกายภาพ ลดความเสี่ยงจากรัฐวิสาหกิจ และกองทุนนอกงบประมาณ เพิ่มการจัดเก็บรายได้ให้มากขึ้น โดยค่อยๆ เพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มและการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้จ่าย รวมถึงยกเลิกการอุดหนุนราคาพลังงานที่มีราคาแพง ควรเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกๆ
ไอเอ็มเอฟเห็นพ้องว่าจุดยืนของนโยบายการเงินที่เป็นกลางของธนาคารแห่งประเทศไทยยังคงมีความเหมาะสม อย่างไรก็ตาม ควรมีการเตรียมพร้อมใช้มาตรการทางการเงินที่ตึงตัว ในกรณีที่มีความเสี่ยงเงินเฟ้อทั้งจากภายในหรือภายนอกเกิดขึ้น ไอเอ็มเอฟยินดีกับการผ่อนคลายนโยบายแทรกแซงในภาคการเงิน ซึ่งมีการสนับสนุนให้ทางการพยายามเดินหน้าการลดหนี้ในภาคเอกชนที่สูงขึ้น โดยการอำนวยความสะดวกในการปรับโครงสร้าง ส่งเสริมให้มีการกู้ยืม และปล่อยกู้อย่างมีความรับผิดชอบ และเสริมความแข็งแกร่งของกรอบนโยบายดูแลความเสี่ยงต่อเสถียรภาพระบบการเงิน แทนที่จะพึ่งพากลไกการพักหนี้ที่อาจก่อให้เกิดอันตรายทางจริยธรรม ขณะที่ความพยายามในการเสริมความแข็งแกร่งของกรอบ AML/CFT ก็ยังควรดำเนินต่อไปเช่นกัน
ไอเอ็มเอฟย้ำว่าอัตราแลกเปลี่ยนควรทำหน้าที่เป็นตัวดูดซับแรงกระแทกต่อไป และการแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศควรเป็นไปอย่างจำกัดเพียงเพื่อจัดการกับสภาวะตลาดที่ไม่เป็นระเบียบ และป้องกันการเบี่ยงเบนมากเกินไปในการป้องกันความเสี่ยง และการจัดหาเงินทุนเบี้ยประกันภัยอันเนื่องมาจากผลกระทบที่ไม่ใช่ปัจจัยพื้นฐานขนาดใหญ่ ทั้งนี้ ทางการไทยรับทราบถึงการประเมินเบื้องต้นของไอเอ็มเอฟว่า สถานะภายนอกของประเทศไทยแข็งแกร่งกว่าที่ระบุจากปัจจัยพื้นฐานระยะกลางและนโยบายอันพึงประสงค์ แม้ว่ากรรมการไอเอ็มเอฟบางคนจะยอมรับข้อสงวนของทางการไทยเกี่ยวกับกรอบการประเมินสมดุลภายนอก และขอให้ทางการไทยร่วมมือต่อไปเพื่อแก้ไขประเด็นข้อกังวลต่างๆ
ทางไอเอ็มเอฟสนับสนุนให้ทางการไทยดำเนินการปฏิรูปโครงสร้างเพื่อส่งเสริมการลงทุน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและผลผลิต ซึ่งทางการไทยเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการขจัดกฎระเบียบที่มากเกินไป ยกระดับทักษะกำลังแรงงาน และปฏิรูประบบการคุ้มครองทางสังคม การจัดการความเสี่ยงในการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการสร้างความยืดหยุ่นต่อการรับมือภัยพิบัติทางธรรมชาติก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์