นักลงทุนผวา! 'จีน' เผชิญศึกหนัก หาก 'ทรัมป์' ชนะเลือกตั้งผู้นำสหรัฐอีกครั้ง

Keypoints:

• “โกลด์แมน แซคส์” เผยว่า ลูกค้าในจีนกังวลเกี่ยวกับโอกาสเป็นไปได้ที่ โดนัลด์ ทรัมป์ จะได้กลับเข้าสู่ทำเนียบขาวอีกครั้ง
• ทรัมป์ ประกาศว่า กำลังพิจารณาทางเลือกในการโจมตีทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ต่อจีน หากเขาได้เป็นผู้นำสหรัฐสมัยที่ 2
• อดีตผู้นำสหรัฐส่งสัญญาณผ่านสื่อว่า ภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน อาจถูกปรับขึ้นในอัตราที่สูงมากกว่า 60%

นอกเหนือจากปัญหาต่าง ๆ ตั้งแต่ราคาหุ้นที่ตกต่ำ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ซบเซา ไปจนถึงเศรษฐกิจที่อ่อนแอของจีนแล้ว ประเด็นที่เหล่านักลงทุนจีนกำลังวิตกกังวลที่สุดในตอนนี้กลับเป็นเรื่อง “ทรัมป์ 2.0” หรือแนวโน้มที่จะต้องเผชิญกับรัฐบาลสหรัฐใหม่ภายใต้การนำของผู้นำหน้าเก่าอย่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ

“โกลด์แมน แซคส์” สถาบันการเงินรายใหญ่ของสหรัฐ ได้สำรวจพบข้อกังวลเกี่ยวกับโอกาสเป็นไปได้ที่นายทรัมป์จะได้กลับเข้าสู่ทำเนียบขาวอีกครั้ง ผ่านการพูดคุยกับลูกค้าในจีนตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งรวมถึงกองทุนรวม กองทุนหุ้นนอกตลาด และผู้จัดการสินทรัพย์ของบริษัทประกันภัย ทั้งในปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้

“คำถามที่พบบ่อยที่สุดในหมู่นักลงทุนท้องถิ่นคือผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับจีน หากนายทรัมป์ ได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐ” นักเศรษฐศาสตร์ของโกลด์แมน แซคส์ นำโดยนางแม็กกี้ เว่ย และนางฮุ่ย ซาน กล่าว

ความกังวลของบรรดานักลงทุนไม่ได้เกิดขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุ รายงานของหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์เมื่อวันที่ 27 ม.ค.ที่ผ่านมา ระบุว่า นายทรัมป์กำลังพิจารณาทางเลือกในการโจมตีทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ต่อจีน หากเขาได้เป็นผู้นำสหรัฐอีกครั้ง

นอกจากนั้น นายทรัมป์ยังประกาศสนับสนุนแนวคิดในการยุติบทบาทของจีนในฐานะ “ประเทศที่เป็นที่โปรดปรานมากที่สุด” สำหรับการค้าของสหรัฐ ซึ่งอาจนำไปสู่การปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนมากกว่า 40%

รายงานระบุอีกว่า นายทรัมป์ได้หารือกับที่ปรึกษาของเขา เกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการกำหนดภาษีนำเข้าสินค้าจีนทุกประเภทในอัตราคงที่ที่ระดับ 60%

นอกจากนี้ ระหว่างการให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ฟ็อกซ์นิวส์เมื่อวันอาทิตย์ (4 ก.พ.) นายทรัมป์ยังได้กล่าวเป็นนัยว่า ภาษีนำเข้าสินค้าอาจถูกปรับขึ้นในอัตราที่สูงมากกว่า 60%

นอกเหนือจากข้อกังวลเกี่ยวกับนายทรัมป์แล้ว บรรดานักลงทุนจีนยังต้องการทำความเข้าใจเกี่ยวกับปัจจัยต่าง ๆ ที่อาจกระตุ้นให้รัฐบาลจีนผ่อนคลายนโยบายเชิงรุกมากขึ้น รวมไปถึงมุมมองของนักลงทุนต่างประเทศที่มีต่อหุ้นจีน หลังจากที่มีการเทขายออกอย่างต่อเนื่อง

อ้างอิง: Bloomberg