พารู้จักจอร์แดน: แดนไม่สนธยา | World Wide View
พารู้จัก "จอร์แดน" ชุมทางแห่งอารยธรรมและเส้นทางทางการค้าอันรุ่งเรืองตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ทั้งยังเป็นประเทศมุสลิมสายกลาง ทำให้มีนักเรียนไทยมุสลิมสนใจไปเรียนที่จอร์แดนกว่า 500 คน ปัจจุบันประเทศเปิดกว้างมากขึ้น และมีสถานที่น่าเยี่ยมเยียนอีกมากมาย
ภูมิภาคตะวันออกกลางเป็นภูมิภาคที่คนไทยยังไม่รู้จักและคุ้นเคยมากนัก โดยระยะทางแล้วภูมิภาคนี้อยู่ใกล้ไทยมากกว่ายุโรปครึ่งหนึ่ง แต่คนไทยโดยทั่วไปจะรู้จักและคุ้นกับยุโรปมากกว่า และประเทศหนึ่งในตะวันออกกลางที่คนไทยอาจจะยังรู้จักไม่มากเท่าไหร่คือจอร์แดน
จอร์แดนถูกตั้งชื่อตามแม่น้ำจอร์แดนซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ ชื่อแม่น้ำนี้ในภาษาโบราณแปลว่าไหลลง ซึ่งบอกถึงวิถีแห่งแม่น้ำจอร์แดนที่ไหลลงทะเลสาบ Dead Sea แม่น้ำสายนี้มีความยาวประมาณ 300 กม. สั้นกว่าแม่น้ำเจ้าพระยาเล็กน้อย แต่มีความสำคัญในประวัติศาสตร์ตั้งแต่ก่อนคริสตกาล แม้กระทั่งในคัมภีร์ไบเบิลก็ระบุว่าพระเยซูได้รับพิธีล้างบาปจากนักบุญจอห์นที่แม่น้ำสายนี้ และแม้ว่าพื้นที่ในจอร์แดนส่วนมากจะเป็นทะเลทรายที่แห้งแล้ง แต่บริเวณโดยรอบแม่น้ำสายนี้ยังเป็นแหล่งเพาะปลูกอันอุดม และเป็นแหล่งผลิตทางการเกษตรที่สำคัญของประเทศ
เมืองหลวงของจอร์แดนคือกรุงอัมมาน ถูกตั้งตามชื่อของชนเผ่า Ammonite ซึ่งเป็นชนอาหรับโบราณที่เคยตั้งรกรากในแถบนี้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 อัมมานได้รับขนานนามว่าเป็น White City เนื่องจากบ้านเรือนเป็นสีขาวเกือบทั้งเมือง เพราะคนท้องถิ่นนิยมใช้หินสีขาวปนน้ำตาลอ่อนที่หาง่ายในพื้นที่มาสร้างบ้าน หรือหากจะทาสีก็จะทาสีขาว ทั้งเพื่อเป็นการประหยัด และสำคัญคือการช่วยสะท้อนแสงและความร้อนออกจากบ้านเรือนของตน
รูปภาพจาก Jeerasak Pomsuwan
จอร์แดนตั้งอยู่ทางเหนือของภูมิภาค ติดกับอิสราเอล โดยหากข้ามอิสราเอลไปทางเหนือก็จะเป็นทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งข้ามทะเลไปก็จะเป็นทวีปยุโรป และหากข้ามอิสราเอลไปทางตะวันตกก็จะเป็นอียิปต์อันเป็นตอนเหนือของทวีปแอฟริกา ด้วยตำแหน่งที่ตั้งดังกล่าว ทำให้จอร์แดนเป็นชุมทางของอารยธรรมและเส้นทางทางการค้าระหว่างเอเชีย แอฟริกา และยุโรป มาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ สิ่งหนึ่งที่สะท้อนความเป็นแหล่งอารยธรมในอดีตของจอร์แดนได้ดีก็คือนครเพตรา (Petra)
เพตรานับเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงที่สุดของจอร์แดน ถูกสร้างขึ้นโดยชน Nabataean ซึ่งเคยเป็นชนเผ่าอาหรับเรร่อนตั้งแต่ประมาณ 300 ปีก่อนคริสตกาล นครนี้ตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและทะเลแดง จึงเป็นเส้นทางผ่านของขบวนคาราวานทางการค้า
จุดเด่นของเพตราคือตั้งอยู่ในหุบเขาหินทรายสีชมพูทำให้เป็นที่หลบภัยจากความร้อนและพายุทะเลทรายได้อย่างดี หากขบวนสินค้าใดจะผ่านเส้นทางนี้ก็จะต้องจ่ายภาษีกว่าร้อยละ 25 ของสินค้า ทำให้เพตราร่ำรวยและรุ่งเรืองมาก เอกลักษณ์สำคัญของเพตราคือการสลักเมืองทั้งเมืองลงบนหินทรายของภูเขา ไม่ใช่ตัดหินแล้วลากมาสร้างเมือง เวลาสะท้อนแดดจะเป็นสีชมพูเข้มเกือบแดง จนได้รับการเรียกขานว่าเป็น Red Rose City สะท้อนทั้งฝีมือและความตั้งใจของเหล่าผู้สร้างเมือง
รูปภาพจาก Jeerasak Pomsuwan
อย่างไรก็ตาม ทุกความรุ่งเรืองย่อมมีความโรยรา เพตรายืนหยัดได้กว่า 500 ปี ก็ตกอยู่ในความปกครองของอาณาจักรโรมันในที่สุดเมื่อประมาณศตวรรษที่ 2 แต่การได้รับโหวตให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกเมื่อปี 2550 ก็ทำให้เพตราได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง มีผู้มาเยือนปีละกว่า 1.1 ล้านคน
อีกเรื่องที่จอร์แดนโดดเด่นมากคือการเป็นมุสลิมสายกลาง ผู้ชายผู้หญิงใช้ชีวิตตามที่ต่าง ๆ โดยไม่แบ่งแยก ผู้หญิงหากจะไม่ใส่ผ้าฮิญาบคลุมผมก็ไม่มีใครว่าอะไร แต่หากจะใส่ตามขนบเดิมก็เป็นที่ยอมรับ ผู้คนจอร์แดนก็ยิ้มแย้มแจ่มใส การ say hello ให้แก่ผู้มาเยือนที่เดินผ่านไปมาก็พบได้โดยง่าย การยอมรับศาสนาอื่นก็เปิดกว้าง ทำให้หลายแห่งมีมัสยิดและโบสถ์คริสต์ตั้งอยู่ใกล้ ๆ กัน การเป็นมุสลิมสายกลางนี้ทำให้มีนักเรียนไทยมุสลิมสนใจไปเรียนที่จอร์แดนกว่า 500 คน เป็นอันดับ 4 ของประเทศที่มีนักศึกษามุสลิมไทยไปเรียนมากที่สุดรองจากอียิปต์ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย
ด้วยความเป็นอารยธรรมเก่าแก่ในอดีต และประเทศเปิดกว้างในปัจจุบัน ทำให้จอร์แดนมีความน่าสนใจ น่าศึกษา และน่าเยี่ยมเยือน จอร์แดนจึงเป็น awe แดน หรือแดนมหัศจรรย์ที่ยังมีมุมให้ค้นหา ค้นพบ และค้นคว้าอีกมากมาย