หอการค้าอเมริกันฯ USTDA และ สกพอ. ร่วมขับเคลื่อนนวัตกรรมดูแลสุขภาพในไทย
สำนักงานส่งเสริมการค้าและการพัฒนาแห่งสหรัฐอเมริกา ร่วมมือกับหอการค้าอเมริกันฯ และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษ ภาคตะวันออก (สกพอ.) จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนนวัตกรรมการดูแลสุขภาพ และการทำธุรกิจในไทย
เมื่อวันที่ 2-3 เมษายนที่ผ่านมา สำนักงานส่งเสริมการค้าและการพัฒนาแห่งสหรัฐอเมริกา (U.S. Trade and Development Agency หรือ USTDA) ร่วมมือกับหอการค้าอเมริกันในประเทศไทย (แอมแชม) และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษ ภาคตะวันออก (สกพอ.) เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการเป็นระยะเวลา 2 วัน เพื่อยกระดับอุตสาหกรรม และธุรกิจบริการด้านสาธารณสุขและการดูแลสุขภาพในประเทศไทย
การประชุมเชิงปฏิบัติการนี้เป็นการรวมตัวกัจัดประชุมเชิงปฏิบนของผู้นำด้านอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่รัฐ และภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจากสหรัฐอเมริกาและไทย เพื่อส่งเสริมความร่วมมือและนำเสนอนวัตกรรมด้านสาธารณสุขที่ก้าวหน้า การอภิปรายระหว่างผู้เข้าร่วมและผู้บรรยายมุ่งเน้นการส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการแพทย์ชั้นนำของโลก ตลอดจนการลงทุนและการจัดการงบประมาณด้านสาธารณสุขที่ยั่งยืน การพัฒนาเข้าถึงการรักษาพยาบาล เทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านการสาธารณสุขสมัยใหม่ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และกลยุทธ์จัดการงบประมาณและเงินทุนด้านการรักษาพยาบาลเพื่อบริการสาธารณสุขที่มีคุณภาพและสะท้อนนวัตกรรมเพื่อประชาชน นอกจากนี้ยังให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวปฏิบัติที่ดีในการดูแลสุขภาพในกลุ่มประเทศอาเซียนและจุดยืนของไทยในภูมิภาค
นายโรเบิร์ต โกเดค เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เน้นย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการขับเคลื่อนเป้าหมายด้านการสาธารณสุขของประเทศไทย อีกทั้งกล่าวเสริมว่าบริษัทในสหรัฐ ให้ความสนใจที่จะเป็นพันธมิตรกับคู่ค้าที่สำคัญของไทยเพื่อร่วมกันก้าวสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายด้านการค้าและการลงทุนของไทย รวมถึงเป้าหมายในการเป็นผู้นำระดับโลกในด้านบริการด้านสุขภาพด้วย
ผู้แทนแอมแชม รวมถึงประธานสภากลุ่มธุรกิจสุขภาพและสาธารณสุข (AMCHAM Healthcare Council ) ได้แก่ คุณวีรวัฒน์ มีแก้ว จากบริษัท Johnson & Johnson, คุณคุง คาเรล เคราท์บ๊อช (Keon C. Kruijtbosch) จากบริษัท Organon และคุณอลัน แอดค๊อก (Alan Adcock) จากบริษัท Tilleke & Gibbins รวมถึงบริษัทสมาชิกอย่างอมตะ (Amata) และไฟเซอร์ (Pfizer) เน้นย้ำถึงพันธกิจของแอมแชมเพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในระดับภูมิภาคและสนับสนุนการร่วมมือกันระหว่างภาครัฐและเอกชน
“เรารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ร่วมจัดการประชุมและสนับสนุนให้เกิดบทสนทนาและการอภิปรายภายในกลุ่มผู้เกี่ยวข้อง เพื่อปูทางไปสู่ความก้าวหน้าด้านการเข้าถึงการรักษาพยาบาลและนวัตกรรมด้านสุขภาพในประเทศไทยผ่านความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน” พรรษสลิล รีพรหม ผู้เชี่ยวชาญด้านรัฐกิจและความสัมพันธ์ภาครัฐของแอมแชม กล่าว
การประชุมเชิงปฏิบัติการนี้แสดงถึงเทคโนโลยีทางการแพทย์ชั้นนำของสหรัฐอเมริกาที่ผ่านการพัฒนาและปรับให้เหมาะสมกับลำดับความต้องการด้านการสาธารณสุขของประเทศไทย โดยในงานประกอบด้วยการเสวนาและอภิปรายที่ฉายภาพให้ผู้เข้าร่วมได้เห็นถึงประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นแก่ประเทศไทยจากความร่วมมือของภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งในด้านการผลิต การถ่ายทอดเทคโนโลยี การพัฒนาบุคลากร และการวิจัยและพัฒนาด้านการสาธารสุขและธุรกิจบริการด้านสุขภาพ
Heidi Gallant กรรมการบริหารของแอมแชมกล่าวว่า “งานนี้เปิดโอกาสให้สมาชิกของเราในอุตสาหกรรมการและธุรกิจการดูแลสุขภาพและสาธารณสุขได้เป็นผู้นำและริเริ่มการสนทนาและการประสานความร่วมมือ ที่จะมีอิทธิพลต่อการพิจารณาและออกนโยบายที่ช่วยพัฒนาสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการประกอบธุรกิจในภาคการดูแลสุขภาพ”
การประชุมเชิงปฏิบัติการปิดท้ายด้วยวาระการประชุมเชิงก้าวหน้าเพื่อนำเสนอข้อสรุปและข้อคิดเห็นจากการประชุมตลอดสองวัน โดยได้สนับสนุนให้ผู้เข้าร่วมสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงของประเทศไทยให้กลายเป็นมหาอำนาจและศูนย์กลางด้านการดูแลสุขภาพระดับโลกต่อไป