'ปักกิ่ง' โต้ สหรัฐใช้ วาทกรรม 'สินค้าจีนเป็นภัยคุกคาม' หวังปราบปรามสินค้าจีนหนักขึ้น

'ปักกิ่ง' โต้ สหรัฐใช้ วาทกรรม 'สินค้าจีนเป็นภัยคุกคาม' หวังปราบปรามสินค้าจีนหนักขึ้น

"เจเน็ต เยลเลน" ชี้สินค้าจีนเป็นภัยคุกคามตลาดทั่วโลกรวมทั้งสหรัฐหลังจากภาคอุตสาหกรรมจีนมีกำลังการผลิตล้นเกิน ด้าน "หลี่ เฉียง" โต้สหรัฐใช้วาทกรรมดังกล่าวเพื่อปราบปรามสินค้าของจีนหนักขึ้น

สำนักข่าวนิกเคอิเอเชีย รายงานวันนี้ (7 เม.ย.) ว่า เจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐ เข้าหารือแบบทวิภาคีกับ หลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน ระหว่างการเยือนประเทศจีนทั้งหมดห้าวัน โดยสหรัฐหวังกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศมหาอำนาจและเจรจาประเด็นเรื่องความตึงเครียดจากกำลังการผลิตในภาคอุตสาหกรรมล้นเกินของจีน

\'ปักกิ่ง\' โต้ สหรัฐใช้ วาทกรรม \'สินค้าจีนเป็นภัยคุกคาม\' หวังปราบปรามสินค้าจีนหนักขึ้น เจเน็ต เยลเลน, หลี่ เฉียง (ซ้ายไปขวา)

 

"ในขณะที่เรายังมีสิ่งที่ต้องทําอีกมาก แต่เชื่อว่าในปีที่ผ่านมา เรามั่นใจว่าความสัมพันธ์แบบทวิภาคีของทั้งสองมีเสถียรภาพมากขึ้น" เยลเลนกล่าวกับหลี่ ณ กรุงปักกิ่ง พร้อมกล่าวเสริมว่า

"ทั้งหมดไม่ได้หมายถึงการเพิกเฉยต่อความแตกต่างของทั้งสองประเทศหรือหลีกเลี่ยงการสนทนาที่ยากลําบาก แต่คือความเข้าใจว่าเราจะก้าวหน้าได้ก็ต่อเมื่อเราสื่อสารกันโดยตรงและเปิดเผย"

ขณะที่หลี่กล่าวผ่านการแปลของล่ามว่า ความสัมพันธ์ของทั้งสองค่อนข้าง "มีเสถียรภาพ" และ "พัฒนาไปในเชิงสร้างสรรค์"  โดย "จีนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทั้งสองประเทศจะเป็นพันธมิตร, ไม่ใช่ศัตรู" "ทั้งสองฝ่ายจําเป็นต้องเคารพซึ่งกันและกัน อยู่ร่วมกันอย่างสันติ และแสวงหาความร่วมมือแบบได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย (win-win)"

ทั้งนี้สำนักข่าวนิกเคอิเอเชีย รายงานต่อว่า เยลเลนซึ่งเดินทางเยือนจีนเป็นครั้งที่สองในรอบหนึ่งปีเริ่มต้นการเดินทางของเธอในศูนย์กลางอุตสาหกรรมทางตอนใต้ของกวางโจว

โดยเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาเธอได้พบกับเหอ หลี่จิง รองนายกรัฐมนตรีพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ และนักธุรกิจชาวอเมริกัน

เยลเลนกล่าวว่าทั้งสองตกลงที่จะเปิดการหารือใหม่ "เกี่ยวกับความไม่สมดุลของเศรษฐกิจมหภาค ซึ่งเชื่อมโยงกับประเด็นกําลังการผลิตส่วนเกิน" ต่อไป

นอกเหนือจากการหารือเกี่ยวกับการเติบโตที่สมดุลแล้ว ทั้งสองประเทศยังจะจัดตั้งกรอบความร่วมมือและการแลกเปลี่ยนระหว่างกระทรวงการคลังและธนาคารกลางแห่งประเทศจีนว่าด้วยการต่อต้านการฟอกเงิน (Anti-Money Laundering Framework) เพื่อขยายความร่วมมือในการต่อต้านธุรกรรมทางการเงินผิดกฎหมาย

เธอกล่าวขณะพบปะกับหลี่ว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าวจะมีส่วนช่วยในการจัดการกับความท้าทายในความสัมพันธ์

"รวมถึงทําให้แน่ใจว่าคนงานและบริษัทของทั้งสองประเทศแข่งขันกันในสนามแข่งขันที่เท่าเทียมกัน"

นอกจากนี้ เยลเลนยังเน้นย้ำถึงความกังวลของสหรัฐต่อการส่งออกสินค้าราคาถูกของจีนในตลาดโลกและวิพากษ์วิจารณ์กลยุทธ์ทางเศรษฐกิจของจีนเช่นกัน

 

\'ปักกิ่ง\' โต้ สหรัฐใช้ วาทกรรม \'สินค้าจีนเป็นภัยคุกคาม\' หวังปราบปรามสินค้าจีนหนักขึ้น

"เราเห็นจีนดําเนินนโยบายทางเศรษฐกิจที่ไม่เป็นธรรม รวมถึงการกําหนดกำแพงในการเข้าถึงบริษัทต่างชาติ และบีบบังคับบริษัทอเมริกัน" เธอกล่าวในงานหอการค้าอเมริกันเมื่อวันศุกร์

พร้อมเสริมว่า "สิ่งนี้ไม่เพียงทําร้ายบริษัทอเมริกันเท่านั้นแต่ยังทำร้ายจีนด้วย ดังนั้นการยุติการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อจีนผ่านการปรับปรุงบรรยากาศการทำธุรกิจที่เป็นมิตรมากขึ้น"

โดยจีนตอบข้อโต้แย้งดังกล่าวผ่านสื่อของรัฐว่า สหรัฐใช้วาทกรรมที่ว่าทั้งหมดเป็น "ภัยคุกคามจากจีน" เพื่อสร้างข้ออ้างให้สหรัฐสามารถดําเนินนโยบายกีดกันทางการค้ามากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเลือกตั้งต้นเดือนพ.ย.ที่จะถึงนี้

ทั้งนี้ ก่อนการเดินทาง เยลเลนประกาศอย่างชัดเจนว่าเธอจะกดดันจีนให้ควบคุมการส่งออกทันที โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเช่น รถยนต์ไฟฟ้าและแผงโซลาร์เซลล์ ซึ่งสหรัฐเชื่อว่าสินค้าของจีนเข้ามาในสหรัฐด้วยราคาที่ถูกกว่าจนกระทบตลาดในประเทศ

โดยสำนักข่าวนิกเคอิ เอเชีย รายงานว่า สินเชื่อคงค้างของภาคอุตสาหกรรมในจีนพุ่งขึ้น 28% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 21.83 ล้านล้านหยวน (3 ล้านล้านดอลลาร์) ณ สิ้นเดือนธ.ค. 2023

"การปราบปรามอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับอีวีของจีนไม่ช่วยให้ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐโตได้ด้วยตัวเอง" ซินหัว สื่อของรัฐบาลกลางปักกิ่งกล่าวผ่านบทบรรณาธิการเมื่อวันเสาร์พร้อมระบุว่า

"ความร่วมมือเท่านั้นที่จะทำให้ทั้งสองโตไปด้วยกัน"

แม้จะมีประเด็นที่ถกเถียงกัน แต่เยลเลนยังไม่ลืมที่จะเน้นย้ำถึงความจําเป็นในการสร้างความสัมพันธ์ที่มั่นคงระหว่างสองประเทศเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของโลก

ขณะที่หลี่บอกเยลเลนว่า วัตถุประสงค์หลักของการประชุมคือการปฏิบัติตาม "ฉันทามติที่สําคัญ" ที่สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีนและโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐบรรลุในการประชุมเมื่อปีที่แล้ว และข้อความจากการยกสายโทรศัพท์ของทั้งสองเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา

อ้างอิง

Asia Nikkei