‘Nvidia’ กำไรสุทธิพุ่ง 600% ราคาหุ้นทะลุ 1,000 ครั้งแรก พร้อมเพิ่มปันผล 150%
“Nvidia” เผยผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2567 กำไรสุทธิพุ่งสูงถึง 628% และรายได้เพิ่มขึ้น 268% โดยรายได้หลักมาจากส่วนดาต้าเซ็นเตอร์ที่ได้เพิ่มขึ้น 427% สะท้อนถึงความต้องการชิป AI ในดาต้าเซ็นเตอร์ที่ร้อนแรง
สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า ผลประกอบการล่าสุดในไตรมาสแรกของ บริษัท “อินวิเดีย” (Nvidia) ผู้ผลิตชิปประมวลผลกราฟิกสำหรับปัญญาประดิษฐ์ (AI) ยังคงแกร่ง โดยรายได้ของ Nvidia เพิ่มขึ้นมากกว่า 3 เท่า เป็น 26,000 ล้านดอลลาร์ และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 6.12 ดอลลาร์ต่อหุ้น ซึ่ง “สูงกว่า” ที่เหล่านักวิเคราะห์เคยคาดการณ์รายได้ไว้ที่ 24,700 ล้านดอลลาร์ และกำไรสุทธิที่ 5.65 ดอลลาร์ต่อหุ้น สะท้อนว่าความต้องการชิป AI ที่ Nvidia ผลิตนั้นยังคงเติบโตดี
ด้วยผลประกอบจากกำไรสุทธิที่พุ่งสูงถึง 628% และรายได้เพิ่มขึ้น 268% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 จึงส่งผลให้ราคาหุ้นบริษัทพุ่งขึ้นสูงสุด 7.8% ในการซื้อขายหลังตลาดปิดวันพุธ จนราคาหุ้นพุ่งทะลุ 1,000 ดอลลาร์เป็นครั้งแรก อีกทั้งบริษัทแห่งนี้ยังประกาศแตกพาร์หุ้น จาก 1 หุ้น เป็น 10 หุ้น และเพิ่มเงินปันผลรายไตรมาสขึ้น 150% เป็น 10 เซนต์ต่อหุ้นอีกด้วย
ตลอดที่ผ่านมา ยอดขายของ Nvidia พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากบริษัทต่างๆ อย่าง Google, Microsoft, Meta, Amazon และ OpenAI ต่างก็ซื้อชิปประมวลผลกราฟิก (GPU) ของ Nvidia มูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นชิปขั้นสูงที่จำเป็นสำหรับการใช้งานแอปพลิเคชันด้านปัญญาประดิษฐ์
ดาต้าเซ็นเตอร์ รายได้หลักบริษัทโต 427%
สำหรับรายได้ที่สำคัญของบริษัทมาจากยอดขายด้าน “ดาต้าเซ็นเตอร์” ซึ่งรวมถึงชิปปัญญาประดิษฐ์ของบริษัท และชิ้นส่วนเพิ่มเติมอีกมากมายสำหรับการใช้งานกับเซิร์ฟเวอร์ AI ขนาดใหญ่ โดยบริษัทรายงานว่า รายได้ส่วนดาต้าเซ็นเตอร์ของบริษัทได้เพิ่มขึ้น 427% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว เป็น 22,600 ล้านดอลลาร์ ซึ่งโคเล็ต เครสส์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของ Nvidia กล่าวในแถลงการณ์ว่า สาเหตุมาจากการยอดขายหน่วยประมวลผลกราฟิก Hopper H100 ที่ทะยานขึ้นมา
นอกจากขายชิปให้กับธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ ที่เป็นธุรกิจหลักสำคัญที่สุดแล้ว บริษัทยังขายชิปประเภทอื่นด้วย อย่างชิปสำหรับคอมพิวเตอร์พิเศษที่ออกแบบในการใช้งานด้านเทคนิคหรือวิทยาศาสตร์ (Workstations) ที่ 427 ล้านดอลลาร์ และชิปสำหรับรถยนต์ที่ 329 ล้านดอลลาร์ ซึ่งยอดขายชิปทั้งสองยังถือว่ามีขนาดเล็กกว่าธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์อย่างมาก
ชิป Blackwell เร็วกว่าเดิม 30 เท่า หนุนบริษัทโตเพิ่ม
สำหรับแนวโน้มอนาคต เจนเซน หวง ซีอีโอของบริษัท Nvidia คาดการณ์ว่าบริษัทจะเริ่มมีรายได้จากชิป AI รุ่นถัดไปที่ชื่อว่า “Blackwell” ภายในปลายปีนี้ โดยชิปรุ่นนี้สามารถประมวลผลเร็วขึ้นถึง 30 เท่าเมื่อใช้ในงานด้านต่าง ๆ และอาจเป็นแรงหนุนให้บริษัทเติบโตมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นที่คาดว่าจะวางจำหน่ายสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ภายในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้
นอกจากประเด็นเรื่องผลประกอบการที่ดีแล้ว หวงยังประกาศแผนขยายการเติบโตให้ไปไกลกว่าดาต้าเซ็นเตอร์ ด้วยการร่วมมือกับ “เดลล์ เทคโนโลยีส์” (Dell) บริษัทผู้วางโครงสร้างพื้นฐานด้านไอที เพื่อช่วยให้ AI เข้าถึงลูกค้าได้หลากหลายมากขึ้น มุ่งเป้าช่วยธุรกิจและองค์กรต่าง ๆ ในการสร้างโรงงาน AI ของตัวเอง
"เราต้องการนำเสนอความสามารถปัญญาประดิษฐ์แบบเจเนอเรทีฟ (Generative AI) ไปยังทุกบริษัททั่วโลก นี่ไม่ใช่แค่การส่งมอบกล่องๆ เดียว แต่เป็นการส่งมอบโครงสร้างพื้นฐานทั้งหมด เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่ซับซ้อนอย่างเหลือเชื่อ" หวงกล่าวในการให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg Television เกี่ยวกับความร่วมมือกับบริษัท Dell ที่นครลาสเวกัส ประเทศสหรัฐ
เหตุผลที่ Nvidia เลือกจับมือกับ Dell เพราะ Dell เป็นหนึ่งในบริษัทใหญ่ที่สุดในโลกที่ขายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และวางโครงสร้างพื้นฐานไอทีให้กับหน่วยงานต่าง ๆ ไม่ว่าที่เก็บข้อมูล, ระบบเครือข่าย และระบบคอมพิวเตอร์ ส่วน Nvidia เองก็เก่งเรื่องการ์ดจอและชิป AI แต่เข้าถึงลูกค้ากลุ่มนี้ไม่ได้โดยตรง การจับมือกับ Dell จะช่วยให้ Nvidia เข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ
ขณะนี้ซีอีโอ Nvidia กำลังผลักดันให้นวัตกรรมบริษัทขยายลึกไปยังส่วนเครื่องมือซอฟต์แวร์ การออกแบบคอมพิวเตอร์ และโมเดล AI ในการช่วยค้นพบยา และต่อเรือ โดยไมเคิล เดลล์ ซีอีโอของ Dell กล่าวว่า Nvidia ประสบความสำเร็จได้ เพราะเตรียมพร้อมกับการเปลี่ยนผ่านสู่ AI ไว้ และมีนวัตกรรมใหม่ที่ล้ำหน้ากว่าคู่แข่งทั้งหมด
อ้างอิง: cnbc, livemint, bloomberg