G7 แท็กทีมต้านการค้าจีน ชี้แข่งขันไม่เป็นธรรม ทำร้ายศก.คู่ค้า

G7 แท็กทีมต้านการค้าจีน ชี้แข่งขันไม่เป็นธรรม ทำร้ายศก.คู่ค้า

ที่ประชุมรมว.คลังกลุ่มประเทศ G7 ผนึกกำลังสู้การค้าจีน อ้างแข่งขันไม่เป็นธรรม ทำร้ายระบบเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า

ที่ประชุมรัฐมนตรีคลังกลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ 7 ประเทศ (G7) ออกแถลงการณ์ร่วมเมื่อวันที่ 25 พ.ค. หลังเสร็จสิ้นการประชุมที่ประเทศอิตาลี เห็นพ้องส่งสัญญาณว่าการค้าจีนมีปัญหา ซึ่งมีการระบุชื่อ "ประเทศจีน" ชัดเจนในแถลงการณ์ร่วม พร้อมทั้งกล่าวหาว่าการค้าจีนที่ไม่เป็นไปตามระบบตลาดได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า

"ในขณะที่เรายังคงยืนยันความมุ่งมั่นต่อประเด็นความร่วมมือที่สมดุลและต่างตอบแทน เราก็กังวลเกี่ยวกับการใช้นโยบายและแนวปฏิบัติที่ไม่ใช่ระบบตลาดอย่างครอบคลุมของจีน ซึ่งบ่อนทำลายแรงงาน อุตสาหกรรม และความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจของเรา" แถลงการณ์ร่วมระบุ

"เราจะยังคงติดตามผลกระทบด้านลบที่อาจเกิดขึ้นจากการผลิตที่ล้นเกินไป และจะพิจารณาการดำเนินการต่อไปเพื่อให้แน่ใจว่าการแข่งขันจะมีความเท่าเทียมกัน"

สำนักข่าวบลูมเบิร์กระบุว่า สหรัฐซึ่งนำโดยรัฐมนตรีคลัง เจเน็ต เยลเลน ยังคงเป็นแกนหลักในที่ประชุมที่กดดันจีน และระบุด้วยว่าผู้แทนจากเยอรมนี ฝรั่งเศส และประเทศอื่นๆ ใน สหภาพยุโรป (อียู) ก็มีการแสดงความไม่พอใจเช่นกัน โดยรัฐมนตรีคลังฝรั่งเศส บรูโน เลอแมร์ ยังเป็นหนึ่งในผู้ที่เรียกร้องให้ G7 ผนึกกำลังกันมากขึ้นด้วย  
 

ในขณะที่จิอันคาร์โล จิออร์เก็ตติ รัฐมนตรีคลังอิตาลีกล่าวว่า ประเด็นเรื่องการขึ้นภาษีสินค้าจีนนั้นเป็นความจริงที่เป็นรูปธรรม ไม่ใช่แค่ทางเลือกทางการเมือง และเมื่อสหรัฐที่มีการใช้กฎหมายลดเงินเฟ้อ (Inflation Reduction Act: IRA) เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่ก็ยังดำเนินนโยบายขึ้นภาษีจีนด้วย จึงเป็นเสียงสะท้อนให้สหภาพยุโรปต้องหันกลับมาพิจารณาด้วยว่า จะทำอย่างไรต่อไปในสถานการณ์เช่นนี้ 

อย่างไรก็ตาม เจเรมี ฮันท์ รัฐมนตรีคลังสหราชอาณาจักรเปิดเผยกับบลูมเบิร์กว่า ประเทศตนเองยังไม่มีความคิดที่จะขึ้นภาษีสินค้าจีนเหมือนกับสหรัฐ และไม่อยากเห็นโลกถอยกลับไปสู่ยุคการกีดกันทางการค้า 

"เราจะทำงานเพื่อทำให้ห่วงโซ่อุปทานของเรามีความยืดหยุ่น เชื่อถือได้ มีความหลากหลาย และยั่งยืนมากขึ้น และเพื่อตอบสนองต่อแนวทางปฏิบัติที่เป็นอันตราย ขณะเดียวกันก็ปกป้องเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่สำคัญ"

"เราจะพิจารณามาตรการที่เหมาะสมเมื่อจำเป็น เพื่อส่งเสริมการลดความเสี่ยงและการกระจายความหลากหลายของอุปทาน" แถลงการณ์ของ G7 ระบุ

ทั้งนี้ สหรัฐได้ประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจีนล็อตใหม่เมื่อวันที่ 14 พ.ค. คิดเป็นมูลค่าราว 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์ กับสินค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย นำโดยภาษีรถยนต์ไฟฟ้าที่ขึ้นเป็น 4 เท่า ไปสู่ระดับ 102.5% และยังมีสินค้าสำคัญอื่นๆ อาทิ เหล็กและอะลูมิเนียม แผงโซลาร์เซลล์ และแบตเตอรี่ และเมื่อวันที่ 24 พ.ค. สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) ได้ประกาศไม่ต่ออายุการยกเว้นภาษีสินค้าจีนราวครึ่งหนึ่งจากทั้งหมดประมาณ 400 รายการ

ขณะที่ฝั่งจีนเองมีการส่งสัญญาณเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า พร้อมจะดำเนินมาตรการตอบโต้กลับด้วยการขึ้นภาษี 25% กับรถยนต์นำเข้าที่มีเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบอย่างหนักต่ออุตสาหกรรมรถยุโรป