จับอนาคต’ตลาดหุ้นอินเดีย’หลังเลือกตั้ง ‘โมดี’เผชิญความท้าทายในรอบ 10 ปี
จับอนาคตตลาดหุ้นอินเดีย หลัง'โมดี' คว้าชัยชนะแต่ไม่อาจกุมอำนาจทางการเมืองได้อย่างเด็ดขาด ทำแผน 'Modi premium' พังทลาย สู่ความท้าทายในการปฎิรูปประเทศและบริหารรัฐบาลแบบ 'รัฐบาลผสม' ครั้งแรกในรอบ 10 ปี
KEY
POINTS
- พรรคภารติยะชนตะ ( BJP) ได้ครองเก้าอี้ผู้นำประเทศต่อเป็นสมัยที่ 3 แต่ไม่สามารถครองเสียงข้างมากในสภา
- อาณัติที่อ่อนแอกว่า กระทบต่อแผน ปฏิรูปประเทศเชิงรุกในโครงการ “One India” ให้เป็นประเทศที่พัฒนาแล้วภายในปี 2590 เป็นไปได้ยาก
- ตลาดหุ้นอินเดียกลายเป็นดาวรุ่ง แต่ยังมีปัญหาเชิงโครงสร้างที่สร้างความท้าทายให้รัฐบาลต่อไปต้องแก้
“นเรนทรา โมดี” ประกาศชัยชนะการเลือกตั้งในวันอังคาร(4มิ.ย.) ที่ผ่านมาได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก นอกจากจะเป็นการเลือกตั้งประชาธิปไตยที่ใหญ่ที่สุดในโลก จากผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งเกือบ 1,000 ล้านคนแล้ว เศรษฐกิจอินเดียยังมีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 5 ของโลก รวมทั้งจำนวนประชากรในประเทศที่เพิ่มขึ้นจนมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโลกไปแล้ว
ผลการเลือกตั้งครั้งล่าสุด ที่มีแนวโน้มว่าพรรคภารติยะชนตะ ( BJP) ซึ่งเป็นพรรคชาตินิยมฮินดูของโมดีได้ครองเก้าอี้ผู้นำประเทศต่อเป็นสมัยที่ 3 แต่ไม่สามารถครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร ถือเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดเพราะโพลทุกสำนักต่างชี้ว่า BJP จะได้รับชัยชนะอย่างล้นหลาม
ดังนั้นโมดีและ BJP จะต้องพึ่งพาพรรคเล็ก เพื่อจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากในสภา ทำให้อำนาจทางการเมืองที่ลดน้อยลง ที่อาจกระทบต่อ 'Modi premium' ในแผนการปฏิรูปประเทศเชิงรุกที่โมดีได้ประกาศไว้ภายใต้โครงการ “One India” เพื่อรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของประเทศ
ทั้งนี้ โมดีให้คำมั่นว่าจะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอินเดียต่อไป แม้ว่าพรรค BJP จะสูญเสียเสียงข้างมากก็ตาม แต่ถ้าหากโมดีไม่ได้รับการสนับสนุนมากพอ จะเลือกผู้นำคนอื่นมารับตำแหน่งแทน
ผลเลือกตั้งทำแผน 'Modi premium' พังทลาย
โมดีทำให้อินเดียก้าวขึ้นมาโดดเด่นในเวทีโลกอย่างมาก และให้คำมั่นที่จะเปลี่ยนอินเดียให้เป็นประเทศที่พัฒนาแล้วภายในปี 2590 โดยมุ่งลงทุนมหาศาลในด้านโครงสร้างพื้นฐาน ส่งเสริมการผลิตในประเทศ ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ และสัญญาว่าจะขจัดการคอร์รัปชัน
การเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งทำให้ GDP ของอินเดียเติบโตขึ้นมากกว่า 55% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และGDP ต่อหัวเพิ่มขึ้นจากประมาณ 5,000 ดอลลาร์เป็นมากกว่า 7,500 ดอลลาร์ ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ ดัชนี Nifty 50 มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเกือบสามเท่า
เนื่องจากพรรค BJP สูญเสียพื้นที่ส่วนใหญ่ในพื้นที่ชนบท นักลงทุนกล่าวว่าการปฏิรูปที่ดินและแรงงาน ซึ่งคาดว่าจะปลดล็อกมูลค่าและการเติบโตอาจจะล้มเหลว กดดันตลาดทุนอินเดียเผชิญกับปรับฐานครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 4 ปี
ตลอดวันในคะแนนผลการเลือกตั้ง( 4 มิ.ย.67) ดัชนี Nifty 50 ดิ่งลงหนักสุด 8% ก่อนจะฟื้นเล็กน้อยเป็นลดลง 5.3% รวมทั้งนักลงทุนสถาบันต่างประเทศเทขายหุ้นอินเดียมูลค่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ และผันผวนตลอดทั้งวันในถัดมา (5 มิ.ย.67)
วี เค วิชัยกุมาร์ หัวหน้านักกลยุทธการลงทุนของ Geojit Financial Services คาดการณ์ว่าตลาดหุ้นอินเดียจะยังคงมีความผันผวนในช่วงนี้ จนกว่าจะมีความชัดเจนเกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐบาลและบทบาทของคณะรัฐมนตรีคนสำคัญ
รัฐบาลผสมครั้งแรกในรอบ 10 ปี
อย่างไรก็ตาม อาณัติที่อ่อนแอกว่าจะทำให้การดำเนินการเปลี่ยนแปลงนโยบายเชิงโครงสร้างทำได้ยากขึ้น เช่น การปฏิรูปที่ดินเพื่อช่วยในการเติบโตของการผลิต และการปฏิรูปการทำฟาร์มเพื่อเพิ่มการเติบโตของผลผลิตทางการเกษตร
ด้วยเหตุนี้ ความท้าทายหลักสำหรับพรรคของโมดีคือ การร่วมมือกับพันธมิตรแนวร่วมในการเจรจาเพื่อแต่งตั้งรัฐมนตรีคนสำคัญ
อเล็กซานดรา เฮอร์มันน์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจาก Oxford Economics กล่าวว่าการที่โมดีไม่สามารถครองเสียงข้างมากในสภาได้นั้น จะทำให้การปฏิรูปที่เกี่ยวข้องกับกฎระเบียบด้านที่ดิน แรงงาน และทุนทำได้ยากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ Goldman Sachs ประเมินว่า การสูญเสียเสียงข้างมากของ BJP ในรัฐสภาไม่อาจกระทบต่อเสถียรภาพของเศรษฐกิจในระดับมหภาค และนี่เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปีที่ที่ BJP จะบริหารรัฐบาลโดยไม่มีเสียงข้างมาก
อย่างไรก็ดี แกรี ตัน ผู้จัดการกองทุนของ Allspring Global Investments ไม่คิดว่าผลการเลือกตั้งจะส่งผลกระทบต่อแนวโน้มระยะยาวของตลาดอินเดีย เพราะไม่ว่าพรรคร่วมรัฐบาลของโมดีจะดำเนินประเทศไปในทิศทางใด ประเทศนี้ก็ยังคงได้รับประโยชน์จากจำนวนประชากรอายุน้อย รวมทั้งแนวโน้มที่จะได้รับประโยชน์จากความตรึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างสหรัฐ รัสเซียและจีน ซึ่งต่างกำลังมุ่งเข้าสู่อินเดีย
ความท้าทายหลังการเลือกตั้ง
ตัน กล่าวว่า GDP อินเดียเติบโตในระดับที่น่าประทับใจ ทว่าศรษฐกิจของประเทศยังคงเผชิญกับความท้าทายมากมาย ทั้งปัญหาความยากจน ความไม่เสมอภาคทางสังคมที่นับวันยิ่งเพิ่มมากขึ้น และการทุจริตที่เพิ่มขึ้น และปัญหาเร่งด่วนที่สุดประการหนึ่งคือการขาดแคลนงานที่มีคุณภาพเพื่อให้ตรงกับความต้องการของประชากรจำนวนมาก รวมทั้ง “หนี้ครัวเรือน”ที่เพิ่มขึ้นของอินเดียเป็นอีกเรื่องที่น่ากังวล
ขณะเดียวกันตลาดหุ้นอินเดียที่สร้างผลตอบแทนอย่างล้นหลามในหลายปีที่ผ่านมา นักวิเคราะห์บางรายเชื่อว่าปัจจุบันบริษัทในอินเดียหลายแห่งมีมูลค่าสูงเกินจริง ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการไหลเข้าของนักลงทุนท้องถิ่นรายย่อยที่ไม่มีประสบการณ์จำนวนมากเข้าสู่ตลาด โดยมอร์นิ่งสตาร์ตั้งข้อสังเกตว่าหุ้นอินเดียซื้อขายในราคาที่สูงกว่าตลาดเกิดใหม่อื่นๆ
แม้ว่าตลาดหุ้นอินเดียจะมีการซื้อที่แข็งแกร่งในปีที่ผ่านมา แต่โดยรวมแล้วนักลงทุนทั่วโลกยังมีการลงทุนในอินเดียน้อยอยู่ การวิจัยของ HSBC พบว่า สาเหตุหลักมาจากความไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจ
ผลการเลือกตั้งอาจส่งผลต่อนโยบายเศรษฐกิจและธุรกิจอ่อนแอลง และช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจนในอินเดียที่เพิ่มมากขึ้น นักลงทุนกังวลว่าสิ่งนี้อาจนำไปสู่ความไม่สงบทางสังคม ซึ่งนักลงทุนกังวลว่าสิ่งนี้อาจส่งผลกระทบต่อผลกำไรของบริษัท
อเลสเซีย เบราร์ดี ฝ่ายยุทธศาสตร์มหภาคของ Amundi Investment Institute กล่าวว่าในขณะที่รัฐบาลมุ่งเน้นส่งเสริมการลงทุนไปที่ภาคธุรกิจ ขณะเดียวกันมีส่วนอื่นๆ ของประเทศถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับอินเดีย”
อ้างอิง aljazeera cnbc reuters