เตือน 3 ค่ายรถสหรัฐ ‘รีบหนีออกจากจีน’ คาดสงครามภาษีกดดันตลาดอีวีแข่งดุ

เตือน 3 ค่ายรถสหรัฐ ‘รีบหนีออกจากจีน’ คาดสงครามภาษีกดดันตลาดอีวีแข่งดุ

‘แบงก์ออฟอเมริกา’ เตือน ‘3 ค่ายรถใหญ่สหรัฐ’ รีบออกจากตลาดรถอีวีจีนให้เร็วที่สุด หลังแข่งขันสู้ค่ายรถเจ้าถิ่นยากขึ้น และปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ซ้ำเติมอีก คาดการแข่งขันหลังจากนี้จะยิ่งดุเดือด เมื่อ ‘ไบเดน’ ขึ้นกำแพงภาษีรถอีวีจีน 4 เท่า

สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานอ้าง จอห์น เมอร์ฟี นักวิเคราะห์จากฝ่ายบริษัทหลักทรัพย์แบงก์ออฟอเมริกา ที่เตือนให้บริษัทรถยนต์รายใหญ่ที่สุด 3 แห่งในสหรัฐ (3D) ได้แก่ เจนเนอรัล มอเตอร์ส (GM), ฟอร์ด มอเตอร์ (Ford) และ สเตลแลนทิส (Stellantis) ควรรีบออกจากตลาดจีน "ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้" ก่อนที่จะเจอกับการแข่งขันที่ดุเดือดยิ่งกว่านี้

เมอร์ฟีเปิดเผยในระหว่างการนำเสนอบทความประจำปี "Car Wars" โดยสะท้อนมุมมองตลาดรถยนต์จีนซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลกในตอนนี้ว่า กำลังเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงอย่างไม่เคยมีมาก่อน เนื่องจากจีนกำลังเพิ่มการผลิตยานยนต์เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคชาวจีนเอง รวมถึงการส่งออกไปยังทั่วโลก

"ผมคิดว่า 3 ค่ายรถใหญ่ดีทรอยต์ (D3) ต้องออกมาจากจีนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ จีนไม่ใช่ตลาดหลักสำหรับ จีเอ็ม ฟอร์ด หรือสเตลแลนทิส อีกต่อไปแล้ว” เมอร์ฟีกล่าวกับซีเอ็นบีซี

เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ความคิดเห็นนี้อาจเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดสำหรับบริษัทรถยนต์ โดยเฉพาะ GM แต่การมาของบริษัทรถยนต์จีนในประเทศอย่าง BYD และ Geely ได้สร้างแรงกดดันที่เพิ่มมากขึ้นให้กับบริษัทเหล่านี้

การแข่งขันเดือดฉุดส่วนแบ่งตลาดจีนหาย

จากรายงานผลประกอบการของ GM ในไตรมาสแรกปีนี้พบว่า นอกจากจะประสบภาวะขาดทุนแล้ว ส่วนแบ่งการตลาดของ GM ในจีนซึ่งรวมถึงบริษัทร่วมทุนกับจีน ลดลงอย่างต่อเนื่อง จากประมาณ 15% เมื่อปี 2558 เหลือเพียง 8.6% ในปี 2566 ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 21 ปีที่ส่วนแบ่งการตลาดในจีนลดลงต่ำกว่า 9% รวมทั้งรายได้ของ GM ในจีนยังลดลงถึง 78.5% 

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายบริหารของ GM กล่าวว่า บริษัทเชื่อว่าสามารถพลิกสถานการณ์การดำเนินงานและกลับมาชิงส่วนแบ่งการตลาดในจีนได้อีกครั้ง ด้วยรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่

เมอร์ฟีระบุว่า ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าผู้ผลิตรถยนต์ทั้งสามรายควรลดการโฟกัสที่ตลาดจีน และหันไปมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจหลักของตนเอง ซึ่งรวมถึงกลุ่มรถบรรทุกเครื่องยนต์สันดาป รวมถึงเน้นไปที่การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) จนกว่าจะสามารถผลิตและทำกำไรในระดับที่ใกล้เคียงกับ “เทสลา” (Tesla)ได้

เมอร์ฟี กล่าวว่า ผู้ผลิตรถยนต์ไม่ควรลดการลงทุนในอีวี แต่ควรจะเดินหน้าต่อไป และใช้กำไรที่ได้จากธุรกิจหลักมาสนับสนุนการลงทุนด้านนี้

"การออกจากจีนเป็นหนทางสำหรับการพิจารณาจากทั้งมุมมองด้านการทำกำไรและมุมมองเชิงกลยุทธ์ อาจเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดเพื่อมุ่งสู่ธุรกิจที่ทำกำไร อย่างรถบรรทุกที่ใช้น้ำมันในแถบอเมริกาเหนือ เพื่อนำเงินไปลงทุนและพัฒนาในรถยนต์ไร้คนขับและรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต"

กรณีของเทสลา ซึ่งเป็นผู้นำรถยนต์ไฟฟ้าสหรัฐแตกต่างออกไปเล็กน้อย โดยเมอร์ฟีกล่าวว่า เทสลามีต้นทุนที่ถูกกว่าสำหรับชิ้นส่วนรถยนต์ไฟฟ้า รวมแล้วถูกกว่าประมาณ 17,000 ดอลลาร์ เมื่อเทียบกับผู้ผลิตรถยนต์สหรัฐในจีนรายอื่นๆ ซึ่งช่วยให้ Tesla สามารถดำเนินธุรกิจในตลาดจีนได้อย่างคล่องตัวมากกว่า

นอกจากนี้ บริษัทสหรัฐที่มีการผลิตในจีนยังมีความเสี่ยงและความไม่แน่นอนจากปัจจัย “ภูมิรัฐศาสตร์“ นับตั้งแต่ปีนี้ หลังจากประธานาธิบดีสหรัฐ “โจ ไบเดน” ประกาศขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าของจีน 4 เท่า จาก 27.5% เป็น 102.5%  เมื่อเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา 

แบรนด์สหรัฐตั้งรับความท้าทายใหม่

สำนักข่าวดีทรอยด์นิวส์รายงานว่า ขณะที่ตลาดรถยนต์จีนมีความท้าทายมากขึ้น บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ต่าง ๆ กำลังปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือกับการแข่งขันที่รุนแรง นำโดย GM ที่ประกาศว่าจะมุ่งเน้นไปที่รถยนต์รุ่นพรีเมียม 

ส่วนฟอร์ด มอเตอร์ระบุว่าบริษัทสามารถทำกำไรในจีนมาตลอด 3 ปีที่ผ่านมา และวางแผนที่จะขยายธุรกิจส่งออกในจีนร่วมกับพันธมิตรด้านการผลิต โดยเน้นการขายรถยนต์รุ่นที่เป็นที่นิยม เช่น Mustang, Bronco และ F-150 Raptor ซึ่งแม้จะเป็นผลิตภัณฑ์เฉพาะกลุ่ม แต่ก็สามารถทำยอดขายได้มากในตลาดจีนอันกว้างใหญ่

ทางด้านสเตลแลนทิส ได้ยุติการผลิตรถ Jeep ในจีน และหันไปลงทุนในบริษัทลีปมอเตอร์ (Zhejiang Leapmotor Technology) ในจีน พร้อมกับตั้งบริษัทร่วมทุนเพื่อจำหน่ายรถยนต์ลีปมอเตอร์ในระดับสากล

อ้างอิง detroitnews cnbc