ยุคทองของความคิดถึง เมื่อเพลงฮิตในอดีต ทำรายได้แซงเพลงใหม่

ในโลกของการ 'สตรีมเพลง' การนำคลังเพลงฮิตเก่ากลับมาใช้ใหม่ กลายเป็นกลยุทธ์สำคัญที่สร้างกำไรมหาศาลให้กับค่ายและนักลงทุน เพลงของ Whitney Houston และ Dionne Warwick กลับมามีชีวิตชีวาใหม่อีกครั้ง

ในโลกของการสตรีมเพลง การนำคลังเพลงเก่ากลับมาใช้ใหม่ กลายเป็นกลยุทธ์สำคัญที่สร้างกำไรมหาศาลให้กับค่ายและนักลงทุน ปัจจุบันตลาดการซื้อขายคลังเพลงทั่วโลกมีมูลค่าสูงถึง 5.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะเติบโตถึง 11.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2032 แนวโน้มนี้นำมาซึ่งคำถามเกี่ยวกับอนาคตของวงการเพลงและจริยธรรมในการใช้มรดกทางวัฒนธรรมดนตรี

แนวโน้มการซื้อและใช้ประโยชน์จากคลังเพลงเก่าเริ่มต้นอย่างจริงจังเมื่อบริษัท Primary Wave Music Publishing ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2006 โดย Larry Mestel ได้สร้างโมเดลธุรกิจจากการซื้อและให้สิทธิ์ในลิขสิทธิ์เพลงเก่าตัวอย่างความสำเร็จที่โดดเด่นคือการซื้อหุ้น 50% ในกองมรดกของ Whitney Houston ด้วยมูลค่า 7 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2019 และภายในเวลาเพียง 4 ปี บริษัทสามารถเพิ่มรายได้ประจำปีจาก 1.5 ล้านเป็นเกือบ 8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ยุคทองของความคิดถึง เมื่อเพลงฮิตในอดีต ทำรายได้แซงเพลงใหม่

วิธีการสร้างรายได้จากคลังเพลงเก่ามีหลากหลายและมักแฝงไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ กลยุทธ์ที่พบบ่อยคือการใช้ “Sync Deals” ซึ่งเป็นการใช้ลิขสิทธิ์เพลงร่วมกับการผลิตภาพยนตร์ รายการทีวี โฆษณา และสื่ออื่นๆ

นอกจากนี้ยังมีการสร้างภาพยนตร์ชีวประวัติของศิลปิน ซึ่งมักนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของยอดสตรีมอย่างมีนัยสำคัญตัวอย่างเช่น Primary Wave ได้ร่วมผลิตภาพยนตร์ชีวประวัติของ Whitney Houston เรื่อง “I Wanna Dance With Somebody” ซึ่งออกฉายในเดือนธันวาคม 2022 หลังจากภาพยนตร์ออกฉาย คลังเพลงของ Houston มียอดสตรีมเพิ่มขึ้น 25% ในปี 2023 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยมียอดสตรีมรวมกว่า 2.2 พันล้านครั้งตลอดทั้งปี

การลงทุนในคลังเพลงเก่าเช่นนี้ได้รับความนิยมมาตั้งแต่ช่วงการระบาดของโควิด-19 เมื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำและเงินเฟ้อสูง ทำให้นักลงทุนมองหาสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูง โดยนักลงทุนในคลังเพลงคาดหวังผลตอบแทนประมาณ 8-12% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลหรือหุ้นทั่วไป

อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่นิยมคือ การทำรีมิกซ์และการนำท่วงทำนองเพลงเก่ามาใช้ใหม่ (Interpolation)

ยุคทองของความคิดถึง เมื่อเพลงฮิตในอดีต ทำรายได้แซงเพลงใหม่ ยุคทองของความคิดถึง เมื่อเพลงฮิตในอดีต ทำรายได้แซงเพลงใหม่

ตัวอย่างความสำเร็จคือเพลง “Paint the Town Red” ของ Doja Cat ที่นำท่วงทำนองจากเพลง “Walk on By” ของ Dionne Warwick มาใช้ เพลงนี้สร้างรายได้ให้ Primary Wave ได้ถึง 1.75 ล้านดอลลาร์สหรัฐในหนึ่งไตรมาสและมียอดสตรีมทะลุ 3 พันล้านครั้ง

แม้ว่าการซื้อขายคลังเพลงเก่าจะสร้างผลประโยชน์ทางการเงินอย่างชัดเจน แต่แนวโน้มนี้ก็ก่อให้เกิดข้อถกเถียงเกี่ยวกับผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเพลงในวงกว้าง

นักวิจารณ์บางคนแสดงความกังวลว่า การมุ่งเน้นการทำเงินจากเพลงฮิตในอดีตอาจส่งผลเสียต่อการพัฒนาเพลงใหม่

กรณีของ Taylor Swift เป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในกระบวนการนี้ ในปี 2019 Scooter Braun ซื้อ Big Machine Records ซึ่งเป็นเจ้าของมาสเตอร์เพลง 6 อัลบั้มแรกของ Swift ด้วยมูลค่า 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

Swift วิพากษ์วิจารณ์การซื้อขายนี้อย่างรุนแรง และตัดสินใจบันทึกเพลงทั้ง 6 อัลบั้มใหม่ เพื่อเป็นเจ้าของมาสเตอร์เพลงของตัวเอง กลยุทธ์นี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้เธอได้ควบคุมผลงานของตัวเองเท่านั้น แต่ยังสร้างกระแสความนิยมและรายได้มหาศาล

กรณีของ Swift สะท้อนการเปลี่ยนแปลงสำคัญในอุตสาหกรรมเพลง ด้วยปัจจุบันศิลปินมีอำนาจต่อรองมากขึ้นและสามารถใช้ช่องทางใหม่ๆ เช่น การบันทึกเพลงใหม่ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของตนเอง ความสำเร็จของ Swift กลายเป็นแบบอย่างสำหรับศิลปินรายอื่นๆ

อย่างไรก็ตาม วงการเพลงยังคงถกเถียงถึงผลกระทบระยะยาวของแนวโน้มการซื้อขายคลังเพลงเก่า คำถามสำคัญคือ การใช้ประโยชน์จากผลงานในอดีตจะช่วยส่งเสริมหรือเป็นอุปสรรคต่ออนาคตของวงการเพลง

การสร้างสมดุลระหว่างผลประโยชน์ทางการเงินและการรักษาสิทธิของศิลปินเป็นสิ่งสำคัญ อุตสาหกรรมเพลงจำเป็นต้องพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อสนับสนุนทั้งศิลปินรุ่นใหม่และการใช้ประโยชน์จากคลังเพลงเก่าให้เกิดประสิทธิภาพ