ส่อง 10 หุ้นในพอร์ต 'วอร์เรน บัฟเฟตต์' การลงทุนสไตล์มหาเศรษฐีอันดับ 6 ของโลก

‘วอร์เรน บัฟเฟตต์’ (Warren Buffett) หนึ่งในนักลงทุนที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก ปัจจุบันมีความมั่งคั่งสุทธิ   1.33 แสนล้าน หรือราว 5 ล้านล้านบาท ทำให้เขากลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดอันดับที่ 6 ของโลก

ตามข้อมูลเผยแพร่จากเอกสาร "13-F" ที่ยื่นต่อหน่วยงานกำกับดูแลหรือ ก.ล.ต.สหรัฐ ได้เปิดเผยการถือครองหุ้นในพอร์ตการลงทุนของ Buffett ที่ลงทุนผ่านกองทุน “เบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์” (Berkshire Hathaway) ณ สิ้นไตรมาส 2 วันที่ 30 มิ.ย.2567 

เบิร์กเชียร์ มีการถือหุ้น “แอปเปิ้ล” (Apple Inc.) สูงที่สุดเป็นอันดับ 1 จำนวน 400 ล้านหุ้น ด้วยมูลค่า  8.4 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือราว 2.9 ล้านล้านบาท คิดเป็น 30% ของพอร์ต  จากเดิมเกือบ 50% หลังจากมีการขายทิ้งหุ้นแอปเปิ้ลไป 49% ของสัดส่วนการถือครองทั้งหมด  ซึ่งเป็นปริมาณเท่าหุ้น “โคคา-โคล่า” (Coca-Cola) ที่ 400 ล้านหุ้น  ซึ่ง Coca-Cola เป็นหุ้นที่บัฟเฟตต์ถือครองมานานที่สุด

อันดับ 2 คือ “แบงก์ออฟอเมริกา” (Bank of America Corporation) จำนวน 1,033 ล้าน หุ้นมีมูลค่า  4.1 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือราว 1.4 ล้านล้านบาท  ส่วนอันดับ 3 คือ “อเมริกัน เอ็กซ์เพรส” (American Express Company) จำนวน 152 ล้านหุ้น มีมูลค่า 3.5 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือ 4 ราว 1.2 ล้านล้านบาท

ลดสัดส่วนหุ้น Apple เหลือ 30%

เดวิด คาสส์ ศาสตราจารย์ด้านการเงินจากโรงเรียนธุรกิจโรเบิร์ต เอช. สมิธ มหาวิทยาลัยแมรี่แลนด์ ได้ให้ความเห็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับการถือครองหุ้น Apple ของนักลงทุนชื่อดัง วอร์เรน บัฟเฟตต์ โดยศาสตราจารย์คาดการณ์ว่า บัฟเฟตต์อาจไม่ขายหุ้น Apple เพิ่มเติมในอนาคตอันใกล้

"หากบัฟเฟตต์ชอบตัวเลขกลมๆ เขาอาจไม่วางแผนที่จะขายหุ้น Apple เพิ่มเติม" คาสส์กล่าว

พร้อมเปรียบเทียบการลงทุนใน Apple ของบัฟเฟตต์กับการถือครองหุ้นโคคา-โคล่า ซึ่งเป็นการลงทุนระยะยาวที่บัฟเฟตต์ถือว่าเป็น "การถือครองถาวร"

การลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีที่มีการเติบโตสูงเช่น Apple ดูเหมือนจะขัดกับหลักการลงทุนแบบเน้นคุณค่าที่บัฟเฟตต์ยึดถือมานาน 

ก่อนหน้านี้ บัฟเฟตต์ได้ยกย่องฐานลูกค้าที่ภักดีของ iPhone โดยกล่าวว่าผู้คนจะยอมเลิกใช้รถยนต์ก่อนที่จะเลิกใช้สมาร์ตโฟนของตน เขาถึงกับเรียก Apple ว่าเป็นธุรกิจที่สำคัญเป็นอันดับ 2 รองจากกลุ่มบริษัทประกันภัยของ Berkshire ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่น่าตกใจสำหรับบางคนเมื่อมีการเปิดเผยว่า Berkshire ได้ทิ้งหุ้นในบริษัทผู้ผลิต iPhone มากกว่า 49% ในไตรมาสที่ 2

การตัดสินใจขายหุ้น Apple ครั้งนี้ของบัฟเฟตต์ ทำให้เกิดคำถามมากมายในหมู่นักลงทุน และผู้ติดตามตลาดหุ้น หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า การตัดสินใจครั้งนี้อาจเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารจัดการพอร์ตการลงทุน หรืออาจเป็นการสะท้อนมุมมองต่อตลาดโดยรวมที่เปลี่ยนแปลงไปมากกว่าจะเป็นการตัดสินใจที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในอนาคตของ Apple 

อย่างไรก็ตาม มีนักวิเคราะห์บางส่วนมองว่า การที่บัฟเฟตต์ลดสัดส่วนการถือครองหุ้น Apple จนเหลือประมาณ 30% จากเกือบ 50% ณ สิ้นปีที่แล้ว นั้นอาจเป็นเพราะบัฟเฟตต์ต้องการรักษาสัดส่วนการถือครองหุ้นแต่ละตัวในพอร์ตการลงทุนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับหุ้นที่มีมูลค่าตลาดสูงอย่าง Apple การลดสัดส่วนการถือครองลงจะช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุนได้ในระดับหนึ่ง

และเมื่อการถือหุ้นลงตัวที่ตัวเลขกลมๆ นี้ ดูเหมือนจะเป็นจุดที่บัฟเฟตต์ชื่นชอบสำหรับหุ้นที่เขาหวงแหนและถือครองมานานที่สุด

อย่างไรก็ตาม บางคนกล่าวว่ามันอาจเป็นเพียงความบังเอิญล้วนๆ โดยบิลล์ สโตน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของ Glenview Trust Co. และผู้ถือหุ้น Berkshire กล่าวว่า "ผมไม่คิดว่าบัฟเฟตต์คิดแบบนั้น"

ในการประชุมประจำปีของ Berkshire ในเดือนพ.ค. บัฟเฟตต์ได้เปรียบเทียบทั้งสองบริษัทและอ้างถึงระยะเวลาการถือครองของทั้งคู่ว่าไม่มีกำหนด

บัฟเฟตต์กล่าวว่า "เราเป็นเจ้าของ Coca-Cola ซึ่งเป็นธุรกิจที่ยอดเยี่ยม" และต่อด้วยคำชมเชย Apple ว่า "และเราเป็นเจ้าของ Apple ซึ่งเป็นธุรกิจที่ดีกว่าอีก เว้นแต่จะมีบางสิ่งที่พิเศษจริงๆ เกิดขึ้น เราจะยังคงเป็นเจ้าของ Apple และ American Express และ Coca-Cola"

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์   ศิลาวงษ์