นายกฯ เคอร์ดิสถาน ต้อนรับธุรกิจไทยหวังเป็นฮับการผลิตอิรักขยายตลาด
ทูตสุภาค โปร่งธุระไทย เผย นายกฯ เคอร์ดิสถานไฟเขียวร่วมมือไทย หวังยกระดับเป็นฐานการผลิต-กระจายสินค้าทั่วอิรัก ส่งออกยุโรปและตลาดหลักอื่นๆ ให้คำมั่นสนับสนุนธุรกิจหลายสาขา
สุภาค โปร่งธุระ เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงอัมมาน ประเทศจอร์แดน กล่าวหลังเข้าพบ มาสรูร์ บาร์ซานี (Mr.Masrour Barzani) นายกรัฐมนตรีของรัฐบาลภูมิภาคเคอร์ดิสถาน (KRG) เมื่อวันที่ 28 ส.ค.ในโอกาสที่นำคณะผู้ประกอบการไทย เดินทางเยือนประเทศอิรัก และเคอร์ดิสถาน (Kurdistan) เพื่อสำรวจโอกาสทางการค้า การลงทุน และเจรจาจับคู่ธุรกิจ ในระหว่างวันที่ 25 - 30 สิงหาคม 2567 ว่า เคอร์ดิสถานเป็นเขตปกครองตนเองพิเศษตามรัฐธรรมนูญ มีรัฐบาล มีการเลือกตั้ง และอำนาจปกครองพิเศษ เป็นพื้นที่เติบโตค่อนข้างเร็ว เป็นมิตรกับนักลงทุนต่างชาติ มีความเป็นอินเตอร์สูง ขนาดเศรษฐกิจแม้เล็กแต่เปิดกว้างคล้ายประเทศไทย ทำมาค้าขายกับต่างประเทศ ประเทศต่างๆ เข้ามาตั้งสถานกงสุลใหญ่มากกว่า 30 ประเทศ
ที่นี่ให้สิทธิพิเศษแก่นักลงทุนค่อนข้างสูง เช่น นำเงินมาลงทุนในจำนวนที่กำหนดจะได้รับการยกเว้นภาษีเป็นเวลา 10 ปี ภาคเอกชนไทยสามารถมองเคอร์ดิสถานเป็นฐานการผลิต หรือฐานการกระจายสินค้าไปทั่วอิรักได้ เพราะที่นี่มีสนามบินนานาชาติ มีความเป็นมิตรกับหลายๆ ประเทศ
กลุ่มอุตสาหกรรมที่เคอร์ดิสถานอยากชวนให้มาลงทุน ได้แก่ อุตสาหกรรมอาหาร เกษตร การท่องเที่ยว ก่อสร้าง อุตสาหกรรมการผลิต เคอร์ดิสถานอยากทำให้ตนเองเป็น manufacturing production base ผลิตสินค้ากระจายไปทั่วประเทศอิรักและส่งออกไปยังยุโรปหรือตลาดหลักอื่นๆ
ทั้งนี้ แม้เคอร์ดิสถานจะมีนโยบายเศรษฐกิจของตนเองก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อนักลงทุน การค้าขายระหว่างพื้นที่นี้กับส่วนอื่นของอิรักเป็นไปตามปกติไม่มีอุปสรรคใดๆ จึงขึ้นอยู่กับนักลงทุนไทยจะเลือกพิจารณาเคอร์ดิสถานเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะเข้ามาลงทุนได้
นายสุภาคกล่าวด้วยว่า เคอร์ดิสถานอยากให้ไทยกลับมาเปิดสถานเอกอัครราชทูตที่กรุงแบกแดด และพิจารณาเปิดสถานกงสุลใหญ่ที่เคอร์ดิสถาน, อยากให้เปิดเที่ยวบินตรง อยากมาดูงานด้านพลังงานหมุนเวียนโดยเฉพาะทางด้านอีวี และหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ทั่วโลกรวมทั้งสหประชาชาติให้การยอมรับ
“นายกฯ เคอร์ดิสถานสั่งการทุกหน่วยงานอำนวยความสะดวก ให้ความร่วมมือหากภาคเอกชนไทยต้องการมารุกเปิดตลาด แสวงหาโอกาสและพันธมิตรด้านการค้าที่นี่ ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศไทยได้เปิดประตูทุกบานและทุกระดับให้แล้ว”
ด้านซาฟีน ไดซายี (Safeen Dizayee) เทียบเท่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของเคอร์ดิสถาน เผยกับคณะนักธุรกิจไทยว่ารัฐบาลเคอร์ดิสถานมีนโยบายสร้างความหลากหลายทางเศรษฐกิจ ลดการพึ่งพาน้ำมัน โดยเฉพาะในช่วงที่โลกเต็มไปด้วยสงคราม ความขัดแย้ง ขัดขวางการขนส่งพลังงาน เกิดความไม่มั่นคงด้านอาหาร ปัญหาเหล่านี้มีความสำคัญให้นานาชาติต้องคำนึงถึงอนาคต รวมถึงการเพิ่มขึ้นของประชากรที่รัฐบาลต้องจัดหาความจำเป็นพื้นฐานมาตอบสนอง
ภาคส่วนที่มีศักยภาพของเคอร์ดิสถาน เช่น ภาคการผลิต เกษตร ท่องเที่ยว จากการพัฒนาของไทยที่ผ่านมาและในฐานะที่ไทยมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เคอร์ดิสถานต้องการเรียนรู้จากไทย รวมทั้งเปิดรับแนวคิดธุรกิจใหม่ๆ จากนานาชาติ
ต่อมาในวันที่ 29 ส.ค. สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงอัมมาน ซึ่งดูแลประเทศอิรัก ได้จัดงานจับคู่เจรจาธุรกิจไทย-เคอร์ดิสถาน ที่เมืองเออร์บิล นักธุรกิจเคอร์ดิสถานมาร่วมงานมากกว่า 100 คน รวมทั้งนายไดซายีที่มาร่วมชมสินค้าและพูดคุยกับนักธุรกิจไทย พร้อมยืนยันว่ารัฐบาลเคอร์ดิสถานให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่