จีนป่วยโรค ‘เงินฝืด’ ระยะที่ 2 โคม่าหนักสุดในรอบ 30 ปี

จีนป่วยโรค ‘เงินฝืด’ ระยะที่ 2 โคม่าหนักสุดในรอบ 30 ปี

จีนป่วยโรค ‘เงินฝืด’ ระยะที่ 2 โคม่ารุนแรงยาวนานที่สุดในรอบ 30 ปี ส่งสัญญาณเตือน เศรษฐกิจจีนเริ่มคล้าย 'ทศวรรษที่สูญหาย' อดีตผู้ว่าแบงก์ชาติจีน ชี้สิ่งแรกที่ต้องแก้ปัญหา เพราะอาจกดดันเป้าหมายที่รัฐบาลหวังให้ปีนี้ GDP เติบโต 5%

KEY

POINTS

  • อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนที่ชะลอตัวลงเหลือเพียง 4% ในไตรมาสที่ 2 กดดันเป้าหมายการเติบโตที่รัฐบาลตั้งไว้ที่ 5% ในปีนี้
  • “อี้ กัง” อดีตผู้ว่าแบงก์ชาติจีน มองการแก้ไขปัญหาเงินฝืดเป็นสิ่งแรกที่จีนต้องทำ
  • GDP deflator ลดลง 5 ไตรมาสติด สะท้อนเงินฝืดยาวนานที่สุดนับในรอบ 30 ปี และกำลังเข้าสู่ระยะที่ 2 ที่อาจรุนแรงขึ้น

 

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า “ภาวะเงินฝืด”ในประเทศจีนที่เริ่มส่งสัญญาณตั้งแต่ปี 2566 กำลังทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้เศรษฐกิจของพญามังกรซึ่งใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ 

จากข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภค(CPI)ของจีน ในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ที่เผยแพร่เมื่อวันจันทร์ที่ 9 ก.ย.ที่ผ่านมา ปรับตัวขึ้น 0.6% นั้นต่ำกว่าคาดการณ์ สะท้อนว่าภาวะเงินฝืดกำลังลุกลามไปในภาคส่วนต่างๆของเศรษฐกิจ ในช่วงที่รายได้กำลังลดลง

‘เงินฝืด’ ระยะที่ 2 

ข้อมูลจาก Bloomberg Economics และนักวิเคราะห์จากธนาคารชั้นนำอย่าง BNP Paribas SA ชี้ให้เห็นว่า อัตราเงินเฟ้อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP deflator) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดระดับราคาโดยรวมของเศรษฐกิจจีน มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ไตรมาสที่ผ่านมาจนถึงปี 2568 นั่นหมายความว่าราคาสินค้าและบริการโดยรวมในจีนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งถือเป็นภาวะเงินฝืดที่ยาวนานที่สุดนับในรอบ 30 ปี ตั้งแต่มีการบันทึกข้อมูลทางเศรษฐกิจของจีนในปี 2536

จีนป่วยโรค ‘เงินฝืด’ ระยะที่ 2 โคม่าหนักสุดในรอบ 30 ปี โรบิน ซิง หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จีนของมอร์แกน สแตนลีย์ยืนยันว่า เศรษฐกิจจีนกำลังเผชิญกับภาวะเงินฝืดอย่างรุนแรงและอาจกำลังเข้าสู่ระยะที่ 2 ซึ่งเป็นภาวะที่เลวร้ายยิ่งขึ้น สะท้อนจากการที่บริษัทต่างๆ เริ่มปรับลดค่าจ้างของพนักงาน ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาอย่างมาก 

นอกจากนี้ ซิงยังได้ยกตัวอย่างบทเรียนของญี่ปุ่นที่เคยเผชิญกับภาวะเงินฝืดมานานหลายปี ซึ่งพบว่าภาวะเงินฝืดยืดเยื้อนานเท่าไร จีนก็ยิ่งต้องใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นเพื่อเอาชนะความท้าทายที่อาจส่งผลให้จีนต้องเผชิญกับปัญหาหนี้สินที่เพิ่มสูงขึ้น

สัญญาณเตือน ‘เศรษฐกิจจีน’

ผลข้างเคียงของภาวะเงินฝืดที่กำลังแพร่เชื้อไปยังเศรษฐกิจจีน ปัญหานี้อาจเริ่มจากครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบจากการลดลงของรายได้ ทำให้พวกเขาตัดสินใจลดค่าใช้จ่ายลงหรือชะลอการซื้อสินค้า โดยคาดการณ์ว่าราคาจะยิ่งลดต่ำลงในอนาคต ผลที่ตามมาคือรายได้ของบริษัทต่างๆ จะลดลง ซึ่งอาจนำไปสู่การชะลอตัวของการลงทุน และส่งผลให้เกิดการลดเงินเดือนหรือเลิกจ้างพนักงานเพิ่มขึ้น วงจรนี้อาจดำเนินต่อไปจนกระทั่งส่งผลให้ทั้งครอบครัวและบริษัทจำนวนมากประสบปัญหาทางการเงินอย่างรุนแรงหรือถึงขั้นล้มละลายได้

จากการสำรวจของ Caixin Insight Group และ Business Big Data Co. ในภาคเอกชนเผยให้เห็นสัญญาณเตือนภัยของภาวะเงินฝืดที่กำลังทวีความรุนแรงมากขึ้นในจีน โดยเฉพาะในภาคส่วนที่รัฐบาลให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและพลังงานหมุนเวียน พบว่าค่าจ้างของแรงงานระดับเริ่มต้นในภาคส่วนเหล่านี้ลดลงเกือบ 10% เมื่อเทียบกับจุดสูงสุดในปี 2565

นอกจากนี้ ข้อมูลจาก Zhaopin Ltd. พบว่า เงินเดือนเฉลี่ยในการจ้างงานใหม่ใน 38 เมืองใหญ่แทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยในไตรมาสที่ 2 ที่ผ่านมา ซึ่งแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดจากช่วงก่อนเกิดการระบาดใหญ่ที่เคยเติบโตถึง 5% ต่อปี

จีนตามรอย ‘ทศวรรษที่สูญหาย’

สิ่งที่เกิดขึ้นกับจีนเริ่มคล้ายกับวัฏจักรเศรษฐกิจที่เคยเกิดขึ้นกับ “ญี่ปุ่น” ในช่วงเวลาที่เรียกว่า “ทศวรรษที่สูญหาย” ซึ่งในตอนนั้นญี่ปุ่นเผชิญภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างรุนแรงตามมาด้วยฟองสบู่แตกในตลาดอสังหาริมทรัพย์และตลาดการเงิน

แม้รัฐบาลจีนพยายามกีดกันไม่ให้มีการพูดถึงภาวะเงินฝืด แต่คำว่า “เงินฝืด” ก็เริ่มถูกใช้มากขึ้นเรื่อยๆ  โดย “อี้ กัง” อดีตผู้ว่าแบงก์ชาติจีน ได้ออกมาแสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมาว่า การแก้ไขปัญหาภาวะเงินฝืดควรเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกของผู้กำหนดนโยบาย ซึ่งนับเป็นการยอมรับอย่างเปิดเผยจากบุคคลสำคัญในระดับสูงของจีน ว่าภาวะราคาที่ตกต่ำกำลังเป็นภัยคุกคามต่อเศรษฐกิจจีนอย่างร้ายแรง

นอกจากนี้ยังมีการเรียกร้องให้ดำเนิน "นโยบายการเงินเชิงรุกและนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย" อย่างเร่งด่วน เพื่อรับมือกับภาวะเงินฝืดที่กำลังคุกคามเศรษฐกิจจีน โดยเป้าหมายหลักในขณะนี้ควรเป็นการผลักดันให้ตัวเลข GDP deflator กลับมาเป็นบวกในไตรมาสต่อๆ ไป

แต่จนถึงตอนนี้ รัฐบาลยังคงยึดมั่นในนโยบายเดิม โดยเน้นการสนับสนุนภาคการผลิตเป็นหลัก และพยายามแก้ไขปัญหาความต้องการที่ลดลงด้วยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบดั้งเดิม เช่น การเพิ่มการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การให้เงินอุดหนุนแก่ผู้บริโภค และการกระตุ้นการใช้จ่ายภาครัฐ

จีนป่วยโรค ‘เงินฝืด’ ระยะที่ 2 โคม่าหนักสุดในรอบ 30 ปี

แม้จะมีความพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่สัญญาณล่าสุดบ่งชี้ว่าภาวะเงินฝืดในจีนยังคงเป็นปัญหาที่น่ากังวล อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานซึ่งไม่นับรวมสินค้าที่มีราคาผันผวนสูง เช่น อาหารและพลังงาน ได้ชะลอตัวลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบกว่า 3 ปีในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นว่าแรงกดดันด้านราคาโดยรวมยังคงอ่อนแอ

อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนที่ชะลอตัวลงเหลือเพียง 4% ในไตรมาสที่ 2 สะท้อนให้เห็นถึงแรงกดดันด้านราคาที่อ่อนแออย่างชัดเจน ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจกำลังเผชิญกับความท้าทายในการฟื้นตัว และอาจไม่สามารถบรรลุเป้าหมายการเติบโตที่รัฐบาลตั้งไว้ที่ประมาณ 5% ในปีนี้ได้

อ้างอิง Bloomberg