ขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์โลก รัฐบาลพร้อมรับมือหรือยัง

ขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์โลก รัฐบาลพร้อมรับมือหรือยัง

นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร แถลงนโยบายต่อสภาไปแล้ววานนี้ (12 ก.ย.) เน้นย้ำถึง 10 นโยบายเร่งด่วนทำทันที กวาดตาดูเร็วๆ เป็นนโยบายเศรษฐกิจเน้นแก้ปัญหาปากท้อง เริ่มตั้งแต่ปรับโครงสร้างหนี้ทั้งระบบโดยเฉพาะกลุ่มสินเชื่อบ้าน และรถ,

ส่งเสริมและปกป้องผลประโยชน์ของผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะ SME จากการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมของคู่แข่งต่างชาติ โดยเฉพาะแพลตฟอร์มออนไลน์, ลดราคาพลังงานและสาธารณูปโภค

สร้างรายได้ใหม่ด้วยการนำเศรษฐกิจนอกระบบภาษีและเศรษฐกิจใต้ดินเข้าสู่ระบบภาษี และที่ขาดไม่ได้คือกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการผลักดันโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งเป็นนโยบายเรือธงของพรรคเพื่อไทย ถ้าไม่ทำคงถูกโหวตเตอร์ด่าทั้งประเทศและอาจส่งผลถึงคะแนนนิยมในการเลือกตั้งรอบหน้าด้วย นอกจากนี้ยังมีนโยบายเกษตรทันสมัย เร่งเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร, ส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่

เรื่องการท่องเที่ยวนี่ต้องยอมรับว่าเป็นจุดแข็งของไทยจริงๆ ไปประเทศไหนๆ พอเขารู้ว่ามาจากประเทศไทยต้องยกย่องชมเชยเรื่องการท่องเที่ยว คนที่เคยมาแล้วก็ปลาบปลื้ม คนที่ไม่เคยก็ใฝ่ฝันอยากจะมาให้ได้ สำหรับรัฐบาลเข้าใจได้ว่าการจะพลิกโฉมเศรษฐกิจไปทำเรื่องทันสมัยจำพวกชิปหรือเซมิคอนดักเตอร์ต้องใช้เวลา ภายใต้สถานการณ์เร่งด่วนร้อนเงิน การส่งเสริมการท่องเที่ยวเป็นวิธีหาเงินเข้าประเทศได้เร็วที่สุด 
   

ส่วนนโยบายสังคมก็มีการแก้ปัญหายาเสพติดอย่างเด็ดขาด และครบวงจร, เร่งแก้ปัญหาอาชญากรรมอาชญากรรมออนไลน์ มิจฉาชีพ และอาชญากรรมข้ามชาติ, ส่งเสริมศักยภาพและจัดสวัสดิการสังคมให้สอดคล้องกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลง อ่านจบ 10 ข้อไม่เจอนโยบายต่างประเทศ เข้าใจว่าไม่ใช่นโยบายเร่งด่วน แต่ นายกฯ แพทองธาร ก็ได้กล่าวถึงไว้ว่า รักษาจุดยืนไม่เป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งระหว่างประเทศ เดินหน้านโยบายการทูต เศรษฐกิจเชิงรุกและซอฟต์พาวเวอร์เพื่อส่งเสริมการค้าการลงทุน
   

ข้อน่าสังเกตคือหนึ่งวัน (ตามเวลาประเทศไทย) ก่อนนายกฯ แพทองธารแถลงนโยบาย อีกฟากหนึ่งของโลกมีการประชันวิสัยทัศน์นัดหยุดโลกระหว่างรองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริส ตัวแทนพรรคเดโมแครต กับอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนพรรครีพับลิกันในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ วันที่ 5 พ.ย. ซึ่งจะไม่ใช่แค่การเลือกตั้งสหรัฐแต่เป็นการเลือกตั้งของโลกเลยทีเดียว 
   

ว่ากันว่าถ้าทรัมป์มารอบนี้ จะยิ่งมั่นใจในชัยชนะและอาจดำเนินนโยบายสะเทือนโลกยิ่งกว่าครั้งที่แล้ว สงครามการค้าสหรัฐ-จีนจะดุเดือดยิ่งกว่าเดิมและส่งผลกระทบกับไทยอย่างแน่นอน ทรัมป์ประกาศแล้วว่าจะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากต่างประเทศโดยเฉพาะจากจีนเก็บหนักกว่าคนอื่น นี่ยังไม่นับความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ทั้งยูเครน ตะวันออกกลาง ไต้หวัน ทะเลจีนใต้ หลายเรื่องเป็นปัญหาสะสม แต่คำถามคือรัฐบาลแพทองธารเตรียมตัวหรือยังหากประเด็นเหล่านี้กลายเป็นการเผชิญหน้ากันในปีหน้า