‘Meta’ กับ ‘Microsoft’ ผลประกอบการดี แต่ราคาหุ้นร่วงสวน ตลาดกังวลงบลงทุนอนาคตพุ่งสูง
‘Meta’ และ ‘Microsoft’ แม้รายงานผลประกอบการที่สูงเกินคาด แต่ราคาหุ้นกลับร่วงลง นักลงทุนกำลังกังวลเกี่ยวกับการลงทุนมหาศาลในโครงการใหม่ๆ ด้าน AI ที่อาจส่งผลกระทบต่อผลกำไรในระยะยาว
ผลประกอบการของทั้ง “เมตา” (Meta) บริษัทแม่ของ Facebook และ “ไมโครซอฟต์” (Microsoft) เจ้าของซอฟต์แวร์ Microsoft Office แม้จะออกมาดีเกินคาด แต่ตลาดกลับตอบรับด้วยความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มการลงทุนในอนาคตของทั้งสองบริษัท โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนมหาศาลในโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่อาจส่งผลกระทบต่ออัตรากำไรในระยะกลางและยาว
สำหรับ Meta ได้ประกาศผลประกอบการไตรมาสที่สามของปีงบประมาณ โดย “ทำผลงานได้ดีกว่า” ที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ทั้งด้านรายได้และกำไร แต่หลังจากรายงานดังกล่าว ราคาหุ้นของยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีนี้กลับ “ร่วงลงมากกว่า 3%”
เหตุผลเพราะรายจ่ายด้านการลงทุนของ Meta มีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ในอนาคต ซึ่งราคาหุ้นเป็นการสะท้อนภาพอนาคตมากกว่าผลประกอบการปัจจุบัน โดยซูซาน ลี ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของบริษัท Meta กล่าวในแถลงการณ์ว่า
“เราคาดการณ์ค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนตลอดทั้งปีนี้ จะอยู่ระหว่าง 38,000-40,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงเดิมที่ 37,000-40,000 ล้านดอลลาร์”
“เราคาดว่าค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนจะยังคงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปีหน้า เมื่อรวมกับลักษณะการลงทุนในปีนี้ที่เน้นการลงทุนในช่วงครึ่งหลังของปี เราคาดว่าค่าใช้จ่ายโครงสร้างพื้นฐานจะเร่งตัวขึ้นอย่างมากในปี 2568 เนื่องจากเราจะรับรู้การเพิ่มขึ้นของค่าเสื่อมราคาและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของโครงสร้างพื้นฐานที่ขยายตัวของเรา” ลีกล่าว
นอกจากนี้ บริษัทยังคาดการณ์รายได้ในไตรมาสที่ 4 ว่าอยู่ระหว่าง 45,000-48,000 ล้านดอลลาร์ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 46,090 ล้านดอลลาร์
สำหรับในไตรมาสที่สาม Meta มีกำไรต่อหุ้น (EPS) ที่ 6.03 ดอลลาร์ จากรายได้ 40,500 ล้านดอลลาร์ ส่วนรายได้จากการโฆษณาอยู่ที่ 39,800 ล้านดอลลาร์ เทียบกับคาดการณ์ที่ 39,700 ล้านดอลลาร์ ในขณะที่ส่วน Reality Labs โครงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีเสมือนจริงของ Meta ซึ่งรวมถึงยอดขายของชุดหูฟัง AR Quest มีรายได้ 270 ล้านดอลลาร์
ในขณะราคาหุ้นของ “Microsoft” ปิดตลาดในระดับต่ำลงประมาณ 4% หลังจากบริษัทคาดการณ์ว่า รายได้จากบริการคลาวด์ในไตรมาสต่อไปจะเติบโตช้าลง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายในการขยายดาต้าเซ็นเตอร์ให้ทันกับความต้องการปัญญาประดิษฐ์ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
แม้ว่ารายงานผลประกอบการไตรมาสแรกของบริษัทจะออกมาดี โดยมีรายรับเพิ่มขึ้น 16% เป็น 65,600 ล้านดอลลาร์ และกำไรเพิ่มขึ้นเป็น 3.30 ดอลลาร์ต่อหุ้น ซึ่งเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่อนาคตกลับดูไม่สดใส โดยเอมี ฮูด ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินได้กล่าวว่า ความสามารถของศูนย์ข้อมูลบางส่วนที่ Microsoft คาดหวังไว้เพื่อผลักดันธุรกิจ AI นั้นยังไม่เป็นจริงในขณะนี้ ซึ่งได้จำกัดการเติบโตของรายได้ในธุรกิจคลาวด์ Azure ในไตรมาสปัจจุบันที่จะสิ้นสุดในเดือนธันวาคม
จิล ลูเรีย นักวิเคราะห์จาก D.A. Davidson & Co. ได้ปรับลดอันดับความน่าสนใจของหุ้น Microsoft ลงเป็น “เป็นกลาง” ในช่วงไตรมาสกันยายน โดยกล่าวว่า “ความกังวลของเราคือ ยิ่งพวกเขาลงทุนมากขึ้นในการสร้างศูนย์ข้อมูลมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งส่งผลกระทบต่ออัตรากำไรมากขึ้นเท่านั้น แต่ตอนนี้ยังไม่เกิดขึ้น พวกเขาสามารถลดค่าใช้จ่ายส่วนอื่นได้มากพอในการขยายอัตรากำไรได้”
ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนรายไตรมาสในไตรมาสแรกอยู่ที่ 14,900 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นสถิติสูงสุด เพิ่มขึ้น 50% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ในไตรมาสที่สอง ส่วนรายการรายได้และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ของ Microsoft แสดงการขาดทุนประมาณ 1,500 ล้านดอลลาร์ ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากส่วนแบ่งการขาดทุนจากสตาร์ทอัพ OpenAI
อ้างอิง: yahoo, bloomberg