‘ทรัมป์-แฮร์ริส’.... ใครมาก็กระทบไทย

‘ทรัมป์-แฮร์ริส’.... ใครมาก็กระทบไทย

โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐระหว่างปี 2560 - 2564 จากพรรครีพับลิกัน ก่อนที่จะพ่ายแพ้การเลือกตั้งสมัยที่ 2 ในปี 2564 ให้กับโจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต โดยเป็นการเลือกตั้งที่มีเหตุการณ์พลิกผันตลอด เมื่อโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศลงเลือกตั้งประธานาธิบดีอีกครั้ง

 ในขณะที่โจ ไบเดน ประกาศถอนตัวออกจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ของตัวเอง จึงเป็นการชิงตำแหน่งกับคามาลา แฮร์ริส ที่นับได้ว่ามีความสูสีกันมาก

หน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชนของไทยมีการติดตามสถานการณ์การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐครั้งนี้อย่างเต็มที่ เพราะมีผลต่อสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์โลก และเศรษฐกิจโลก

โดยในเบื้องต้นมีการประเมินว่าในกรณีที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดี สมัยที่ 2 สหรัฐจะหันไปฟื้นฟู และพึ่งพาตนเอง และมีมาตรการกีดกันการค้าผ่านกำแพงภาษี แต่มาตรการที่ออกมาจะทำให้สหรัฐมีความเสี่ยงที่จะเผชิญ Stagflation และมีความเสี่ยงการขาดดุลการคลังเพิ่มสูงขึ้น

ขณะที่กรณี คามาลา แฮร์ริส ชนะเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี มีการประเมินว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มชะลอตามวัฏจักรเศรษฐกิจ โดยความเสี่ยงเงินเฟ้ออยู่ระดับจัดการได้ ส่วนการขาดดุลการคลังไม่สูงเท่ากรณีโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะเลือกตั้ง ส่วนนโยบายการต่างประเทศจะให้ความสำคัญกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งสนับสนุนการเจรจา Indo-Pacific Economic Framework (IPEF) และอาจเข้าร่วม Comprehensive and Progressive Agreement of Trans-Pacific Partnership (CPTPP)
   

สิ่งที่หลายหน่วยงานประเมินตรงกันไม่ว่าโดนัลด์ ทรัมป์ หรือคามาลา แฮร์ริส ชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ อยู่ที่ประเด็นนโยบายต่อจีนที่ยังมีความเข้มข้นเช่นเดิม โดยการที่สหรัฐยังคงกีดกันการค้า และความร่วมมือกับจีนจะทำให้จีนออกมาตรการตอบโต้ เหมือนที่จีนเคยขึ้นภาษีสินค้าสหรัฐ และล่าสุดจีนมีท่าทีตอบโต้สหภาพยุโรป (EU) ที่เก็บภาษีรถยนต์ไฟฟ้า (EV) จีนด้วยการให้บริษัทรถยนต์จีนชะลอการลงทุนในประเทศสมาชิก EU ที่สนับสนุนการขึ้นภาษีรถยนต์ไฟฟ้าจีน
   

ส่วนการสหรัฐกดดันสินค้านำเข้าจีนด้วยมาตรการภาษีจะทำให้สินค้าจีนที่เคยมีปลายทางอยู่ที่สหรัฐเปลี่ยนไปส่งออกประเทศอื่นแทน และจะเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้สินค้าจีนไหลทะลักเข้ามาไทยเพิ่มมากขึ้น เพราะจีนมีความจำเป็นต้องเดินเครื่องจักรเพื่อรักษาอัตราการใช้กำลังการผลิตในประเทศไว้ จึงจำเป็นต้องระบายสินค้าออกต่างประเทศ สถานการณ์เช่นนี้จะเข้มข้นขึ้นเพราะประธานาธิบดีใหม่ของสหรัฐไม่ว่าใครก็จะเดินหน้าต่อ ซึ่งน่ากังวลมากเพราะที่ผ่านมาไทยแทบรับมือกับปัญหาสินค้าจีนทะลักเข้ามาไม่ได้เลย

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์