'แฮร์ริส' หาเสียงรัฐมิชิแกน ดึงดูดฐานเสียงชาวคริสต์-อเมริกันเชื้อสายอาหรับ
รองปธน.คามาลา แฮร์ริส เดินสายหาเสียงครั้งสุดท้ายที่โบสถ์คนผิวดำ และปราศรัยต่อหน้าชาวอเมริกันเชื้อสายอาหรับในรัฐมิชิแกน ที่เป็นรัฐสวิงสเตต (Swing state) ขณะเดียวกันโดนัลด์ ทรัมป์ คู่แข่งจากพรรครีพับลิกัน เลือกใช้ถ้อยคำรุนแรงในการปราศรัยที่รัฐเพนซิลเวเนีย
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า รองปธน.คามาลา แฮร์ริส และอดีตปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ กำลังทำคะแนนสูสีกันอย่างมาก โดยแฮร์ริส ได้รับแรงหนุนอย่างมากจากผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งสหรัฐที่เป็นผู้หญิง ในขณะที่ทรัมป์ วัย 78 ปี กลับได้รับคะแนนนิยมเพิ่มขึ้นจากกลุ่มผู้มีเชื้อสายฮิสแปนิก โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ชาย
“อีกเพียง 2 วัน พวกเราจะมีอำนาจในการตัดสินชะตากรรมของประเทศชาติเพื่อคนรุ่นต่อ ๆ ไป” แฮร์ริสกล่าวต่อผู้มาร่วมพิธีที่โบสถ์เกรทเตอร์ เอ็มมานูเอล ในดีทรอยต์ “เราต้องลงมือทำ แค่สวดมนต์อย่างเดียวไม่พอ แค่พูดก็ไม่พอ เราต้องทำตามแผนการที่พระเจ้าได้วางไว้ให้เรา และต้องทำให้เป็นจริงผ่านการกระทำของเรา ผ่านการตัดสินใจในชีวิตประจำวัน ผ่านการรับใช้ชุมชน และผ่านระบอบประชาธิปไตยของเรา”
ต่อมาในการปราศรัยที่เมืองอีสต์แลนซิง รัฐมิชิแกน แฮร์ริสได้กล่าวต่อชาวอเมริกันเชื้อสายอาหรับที่มีจำนวนกว่า 200,000 คนในรัฐนี้ โดยเริ่มสุนทรพจน์ด้วยการพูดถึงพลเรือนผู้ตกเป็นเหยื่อจากความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับฮามาสในฉนวนกาซา และระหว่างอิสราเอลกับฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน
“ปีนี้เป็นปีที่ยากลำบากมาก เมื่อเห็นความสูญเสียและความเสียหายอย่างใหญ่หลวงในกาซา รวมถึงการเสียชีวิตของพลเรือนและการพลัดถิ่นฐานในเลบานอน มันเป็นเรื่องที่น่าสะเทือนใจอย่างยิ่ง” แฮร์ริสกล่าว “และหากได้เป็นปธน. ดิฉันจะใช้ทุกอำนาจที่มีเพื่อยุติสงครามในกาซา” แฮร์ริสกล่าวท่ามกลางเสียงปรบมือของผู้ฟัง
อย่างไรก็ตาม แฮร์ริสต้องเผชิญกับความไม่ไว้วางใจจากประชาชนบางกลุ่มที่รู้สึกผิดหวังที่เธอไม่ได้พยายามมากพอในการยุติสงครามในกาซาและลดการสนับสนุนอิสราเอล
ทรัมป์หาเสียงเดือด
ส่วนทรัมป์นั้น ได้เดินทางไปเยือนเมืองเดียร์บอร์น รัฐมิชิแกน เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (1 พ.ย.) ซึ่งเป็นศูนย์กลางของชุมชนชาวอเมริกันเชื้อสายอาหรับ และได้ให้คำมั่นว่าจะยุติความขัดแย้งในตะวันออกกลาง แต่ก็ไม่ได้ระบุว่าจะทำอย่างไร
ในการปราศรัยครั้งแรกจากทั้งหมด 3 ครั้งในวันอาทิตย์ ทรัมป์มักละทิ้งบทพูดที่เตรียมไว้ในจอเทเลพรอมพ์เตอร์ และพูดนอกบทตามอารมณ์ โดยโจมตีผลโพลล์ต่าง ๆ ที่ชี้ว่าแฮร์ริสมีคะแนนนิยมเพิ่มขึ้น ทรัมป์ถึงขั้นเรียกพรรคเดโมแครตว่าเป็น “พรรคปีศาจ” พูดเยาะเย้ยปธน.โจ ไบเดน และบ่นเรื่องราคาแอปเปิลที่แพงขึ้น
ทรัมป์ ยังได้บ่นกับผู้สนับสนุนในวันอาทิตย์เกี่ยวกับช่องโหว่ในกระจกกันกระสุนที่ล้อมรอบตัวทรัมป์บนเวทีปราศรัย พร้อมพูดติดตลกว่าหากใครจะลอบสังหารเขา ผู้นั้นคงต้องยิงทะลุกองทัพสื่อมวลชนมาก่อน
“ถ้าใครจะเล่นงานผม ก็ต้องยิงทะลุพวกสื่อเฟคนิวส์พวกนี้ก่อน ซึ่งผมก็ไม่ได้รู้สึกแย่อะไรกับเรื่องนั้นเท่าไหร่” ทรัมป์กล่าว โดยที่เขามักจะโจมตีสื่อและพยายามปลุกระดมให้ประชาชนเกลียดชังสื่อมวลชนมาโดยตลอด
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทรัมป์ยังพูดถึงลิซ เชนีย์ อดีต ส.ส. จากพรรครีพับลิกันที่มักวิจารณ์เขา ว่าควรจะถูกส่งไปเผชิญหน้ากับการยิงปืนในสนามรบเพราะนโยบายต่างประเทศที่แข็งกร้าวของเธอ คำพูดนี้ทำให้อัยการในรัฐแอริโซนาต้องเปิดการสอบสวน
ด้านสตีเวน เฉิง โฆษกทีมหาเสียงของทรัมป์ ได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงว่า คำพูดของทรัมป์ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่สื่อ แต่ต้องการหมายถึง “ภัยคุกคามที่เขาได้รับ ซึ่งเป็นผลมาจากวาทกรรมอันตรายของพรรคเดโมแครต”
หลังจากนั้น ทรัมป์ได้เดินทางไปปราศรัยที่เมืองคินสตัน รัฐนอร์ทแคโรไลนา และมีกำหนดจะปิดท้ายวันด้วยการปราศรัยช่วงค่ำที่เมืองเมคอน รัฐจอร์เจีย
จากทั้ง 7 รัฐสมรภูมิที่คาดว่าจะมีการแข่งขันดุเดือด รัฐจอร์เจียและนอร์ทแคโรไลนาถือเป็นรัฐสำคัญอันดับสองที่ทุกฝ่ายต้องการคว้าชัยในวันอังคาร (5 พ.ย.) นี้ โดยแต่ละรัฐมีคะแนนเสียง 16 คะแนนจากทั้งหมด 270 คะแนนที่ผู้สมัครต้องได้เพื่อชนะการเลือกตั้งในระบบคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral College) ส่วนรัฐที่มีความสำคัญมากที่สุดคือเพนซิลเวเนีย ที่มีคะแนนเสียง 19 คะแนน
ช่วงท้ายของการปราศรัยที่เพนซิลเวเนีย ทรัมป์ได้แสดงความคิดเห็นว่าเขาน่าจะไม่ยอมส่งมอบอำนาจให้โจ ไบเดนตั้งแต่แรก โดยหน้านี้เขาเคยอ้างว่าการแพ้เลือกตั้งปี 2563 เป็นผลมาจากการโกง จนนำไปสู่เหตุการณ์ที่ผู้สนับสนุนของเขาบุกเข้าทำเนียบรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 6 ม.ค. 2564
นอกจากนี้ ทรัมป์ยังเรียกร้องให้มีการประกาศผลการเลือกตั้งในคืนวันเลือกตั้งทันที แม้เจ้าหน้าที่จากหลายรัฐจะเตือนว่าการนับคะแนนอย่างละเอียดอาจต้องใช้เวลาหลายวัน
ด้านพรรคเดโมแครตเปิดเผยว่าพวกเขาได้เตรียมแผนรับมือไว้แล้ว หากทรัมป์พยายามประกาศชัยชนะก่อนการนับคะแนนจะเสร็จสิ้นเหมือนครั้งที่แล้ว
ทั้งนี้ ในวันเลือกตั้งวันอังคารที่ 5 พ.ย. นอกจากการเลือกตั้งปธน.แล้ว ยังรวมถึงการชิงชัยตำแหน่งในรัฐสภาด้วย โดยพรรครีพับลิกันมีแนวโน้มจะได้เสียงข้างมากในวุฒิสภา ส่วนพรรคเดโมแครตก็มีโอกาส 50-50 ที่จะพลิกสถานการณ์ในสภาผู้แทนราษฎรซึ่งปัจจุบันพรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากอยู่เพียงไม่กี่ที่นั่ง ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา หากปธน.คนใดมีพรรคของตนที่ไม่ได้ครองเสียงข้างมากในทั้งสองสภา ปธน.คนนั้นก็มักจะประสบปัญหาในการผ่านกฎหมายสำคัญ ๆ