หวั่นทรัมป์ 2.0 สะเทือนแผนสู้ 'โลกร้อน'
ชัยชนะของโดนัลด์ ทรัมป์ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ได้สร้างความหวาดหวั่นให้กับทั่วโลกว่า การประชุม COP29 ไม่น่าจะได้ข้อตกลงเป็นชิ้นเป็นอัน และเพิ่มแรงกดดันให้ยุโรปและจีนรับบทผู้นำควบคุมโลกร้อนให้คืบหน้ายิ่งขึ้น
ทรัมป์ เคยกล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นเรื่องหลอกลวง หากได้รับเลือกตั้งกลับมาเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2 เขาจะนำสหรัฐถอนตัวออกจากข้อตกลงปารีส 2015 ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศฉบับประวัติศาสตร์ และคณะที่ปรึกษาด้านนโยบายของเขาได้เสนอให้ถอนสหรัฐออกจากกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) ที่วุฒิสภาสหรัฐให้สัตยาบันในปี 1992
เมื่อวันศุกร์ (8 พ.ย.) ตามเวลาท้องถิ่น นิวยอร์กไทม์สรายงานว่า ทีมถ่ายโอนอำนาจของทรัมป์เตรียมการออกคำสั่งฝ่ายบริหารและคำประกาศถอนตัวจากข้อตกลงปารีส ลดขนาดพื้นที่อนุสรณ์สถานแห่งชาติเพื่อเปิดทางให้กับการขุดเจาะน้ำมันและทำเหมือง
รายงานข่าวคาดว่า ทรัมป์จะยุติระงับการอนุญาตส่งออกก๊าซธรรมชาติเหลวรอบใหม่ให้กับตลาดใหญ่ในเอเชียและยุโรป เพิกถอนข้อยกเว้นที่เปิดให้แคลิฟอร์เนียและรัฐอื่นๆ มีมาตรการควบคุมมลพิษเข้มงวดขึ้น
นอกจากนี้นิวยอร์กไทม์สยังรายงานอ้างแหล่งข่าววงในไม่เปิดเผยตัวตนด้วยว่า คณะทำงานถ่ายโอนอำนาจกำลังหารือเรื่องย้ายสำนักงานใหญ่สำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมออกจากวอชิงตัน
ไม่เพียงแต่ชัยชนะของทรัมป์เท่านั้น พรรครีพับลิกันยังยึดวุฒิสภาสหรัฐกลับคืนมาได้ ส่อเค้าว่านโยบายสภาพอากาศหลายเรื่องที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้มากที่สุดอาจถูกยกเลิก
สิ่งที่ต้องจับตาคือ กฎหมายลดเงินเฟ้อ (The Inflation Reduction Act) ถือเป็นกฎหมายสภาพอากาศฉบับประวัติศาสตร์ของสหรัฐ คาดว่าหากดำเนินการตามแผนภายในไม่กี่ปีข้างหน้าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสหรัฐลงได้ราว 40% ภายในปี 2030
กฎหมายนี้ให้งบประมาณแก่มาตรการใช้พลังงานสะอาดทดแทนพลังงานฟอสซิล วิธีการหลักอันหนึ่งคือให้เครดิตแก่นักธุรกิจที่ลงทุนทำโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม
ไม่เพียงเท่านั้น รัฐบาลยังสนับสนุนให้ผู้พัฒนาพลังงานความร้อนใต้พิภพและธุรกิจต่างๆ แยกคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากปล่องควันและฝังไว้ใต้ดิน ให้สิ่งจูงใจพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์รุ่นใหม่ให้เครดิตภาษี 7,500 ดอลลาร์แก่ผู้ที่ซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ผู้ที่ซื้อรถไฟฟ้ามือสองก็สามารถรับเครดิตภาษีได้เช่นกัน หากรายได้ยังอยู่ในเกณฑ์รับสิทธิ
ในทางตรงกันข้าม ทรัมป์สรุปนโยบายพลังงานของเขาด้วยประโยคสั้นๆ “เจาะเลยลูก เจาะ” พร้อมให้คำมั่นยกเลิกสิ่งที่เขาเรียกว่า “การหลอกลวงสีเขียวรูปแบบใหม่” ของพรรคเดโมแครต สนับสนุนการผลิตพลังงานฟอสซิล เช่น น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน สาเหตุหลักที่ทำให้สภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง
เขาลั่นวาจายุติการอุดหนุนพลังงานลม ที่ถูกรวมเข้ามาในกฎหมายสภาพภูมิอากาศฉบับประวัติศาสตร์ปี 2022
เดวิด เชพเพิร์ด หุ้นส่วนและผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานจากบาริงกาบริษัทที่ปรึกษาระดับโลก กล่าวว่า ถ้าทรัมป์พุ่งเป้าเล่นงานกฎหมายสภาพภูมิอากาศ บทบัญญัติบางข้อน่าจะปลอดภัย หนึ่งในนั้นคือการให้เครดิตแก่บริษัทที่มีการผลิตก้าวหน้า ด้วยถูกมองว่า เป็นบทบัญญัติว่าด้วย “อเมริกาต้องมาก่อนและสนับสนุนธุรกิจสหรัฐ”ส่วนมาตรการจูงใจเพื่อยานยนต์ไฟฟ้าน่าจะเสี่ยงที่สุด
สก็อตต์ ซีเกล หัวหน้ากลุ่มสื่อสารของสำนักงานกฎหมาย Bracewell LLP ซึ่งเป็นตัวแทนของอุตสาหกรรมพลังงาน มองว่ากฎหมายว่าด้วยสภาพอากาศนั้นไม่น่าจะถูกยกเลิก
ขณะที่ แดน แจสเปอร์ ที่ปรึกษาอาวุโสด้านนโยบายของ Project Drawdown บริษัทที่ปรึกษาด้านสภาพอากาศ กล่าวว่าการยกเลิกกฎหมายด้านสภาพอากาศบางส่วนอาจส่งผลเสียได้ เนื่องจากการลงทุนและการจ้างงานส่วนใหญ่อยู่ในเขตเลือกตั้งของพรรครีพับลิกัน
อย่างไรก็ตาม เว็บไซต์เอสบีเอสของออสเตรเลียรายงานว่า ทรัมป์อาจปฏิเสธเรื่องโลกร้อนก็จริง แต่การที่เขาชนะเลือกตั้งไม่ได้ทำให้ความพยายามลดโลกร้อนหยุดชะงัก เพราะนอกเหนือจากทรัมป์และคนรอบตัวเขาแล้ว คนอื่นๆ ยังคงกังวลเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอยู่มาก โดยเฉพาะคนหนุ่มสาว
เสียงสนับสนุนนโยบายสภาพอากาศยังมีสูงทั้งในสหรัฐและทั่วโลก ผลการศึกษาข้อมูลที่ได้จากประชาชน 60,000 คนกว่า 60 ประเทศทั่วโลกชี้ว่าความกังวลของแต่ละบุคคลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศถูกประเมินต่ำเกินไปอย่างมาก ตอนนี้จึงถือเป็นช่วงเวลาที่ดีที่จะระลึกว่า ความพยายามแก้วิกฤติสภาพภูมิอากาศใหญ่เกินกว่าผู้ชายคนเดียวอย่างทรัมป์มาทำให้สะดุด ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดของโลกไม่อาจหยุดยั้งได้
การลงทุนด้านพลังงานสะอาดแซงหน้าพลังงานฟอสซิลไปแล้ว ปีนี้เกือบเป็นสองเท่าของการลงทุนในถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซ นี่คืออภิมหาเทรนด์ระดับประวัติศาสตร์ที่จะเดินหน้าต่อไปไม่ว่าสหรัฐจะเป็นหัวขบวนหรือไม่ก็ตาม
แรงหนุนพลังงานสะอาดในสหรัฐยังคงต่อเนื่อง
รัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน ใช้เวลามากมายทุ่มเทงบประมาณด้านอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดไปให้รัฐและเขตที่เลือกพรรครีพับลิกัน โรงงานใหม่ผลิตแบตเตอรี่และยานยนต์ไฟฟ้าจะยังคงเดินหน้าภายใต้รัฐบาลทรัมป์
เหนือสิ่งอื่นใด ผู้ประกอบการอย่างอีลอน มัสก์ ที่คาดหมายกันว่าจะเข้าไปนั่งในรัฐบาลทรัมป์ ผลิตยานยนต์ไฟฟ้า ผู้สนับสนุนการเงินแก่ทรัมป์จำนวนหนึ่งได้เงินอุดหนุนสำหรับการผลิตพลังงานสะอาด สมาชิกสภาคองเกรสจากพรรครีพับลิกัน 18 คน ต่อต้านการลดเครดิตภาษีพลังงานสะอาด
สหรัฐยังต้องการไล่บี้จีน
ทั้งสองพรรคต่างกังวลว่าสหรัฐสูญเสียความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีให้กับรัฐบาลปักกิ่ง ปัจจุบันจีนครองความเป็นเจ้าด้านการผลิตอีวี แบตเตอรี กังหันลม และแผงโซลาร์ ดังนั้นแรงกดดันภายในประเทศให้สหรัฐรับมือการผลิตของจีนจะดำเนินต่อไป
รัฐบาลกลางไม่ใช่ทุกอย่างในสหรัฐ
ตอนทรัมป์เป็นประธานาธิบดีสมัยแรก เขานำสหรัฐถอนตัวออกจากพันธะสัญญาสภาพภูมิอากาศบางฉบับ เช่น ข้อตกลงปารีส แต่หลายรัฐรวมถึงรัฐบาลท้องถิ่นยังเดินหน้านโยบายภูมิอากาศ รอบนี้ก็จะเป็นเช่นกัน
ตัวอย่างเช่น แคลิฟอร์เนีย ที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับห้าของโลก วางแผนขจัดก๊าซเรือนกระจกภายในปี 2045 หรือแม้แต่เท็กซัส หัวใจของพรรครีพับลิกันก็เดินหน้าเปลี่ยนไปใช้พลังงานลมและแสงอาทิตย์
ขบวนการต้านโลกร้อนของสหรัฐจะมีพลังมากกว่าที่เคย
ช่วงประธานาธิบดีทรัมป์สมัยแรก ขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อสภาพภูมิอากาศของสหรัฐได้พัฒนาข้อเสนอนโยบายสำหรับ “ข้อตกลงนิวดีลสีเขียว” (Green New Deal) ข้อเสนอหลายรายการรัฐบาลไบเดนนำไปปฏิบัติในเวลาต่อมา คราวนี้ก็น่าจะออกมาในทำนองเดียวกัน
ความร่วมมือต้านโลกร้อนระดับโลกยิ่งใหญ่กว่าทรัมป์
ถ้าทรัมป์ทำตามที่หาเสียงไว้ว่าจะถอนตัวจากข้อตกลงปารีส (อีกครั้ง) สิ่งเดียวที่เขาทำคือ ทิ้งโอกาสกำหนดอนาคตโลก ซึ่งที่ผ่านมาสหรัฐเคยถอนตัวจากข้อตกลงว่าด้วยสภาพภูมิอากาศมาก่อน เช่น ไม่ยอมเข้าร่วมพิธีสารโตเกียวในปี 2001 แต่ชาติอื่นๆ รวมพลังกัน คราวนี้ก็จะเกิดขึ้นอีกครั้ง
ระเบียบโลกบนพื้นฐานกฎหมายยังคงอยู่
หากชาติใดชาติหนึ่งถอนตัวจากกฎระเบียบที่นานาชาติเจรจากันมาเป็นสิบๆ ปี ชาติอื่นๆ ที่มีความรับผิดชอบต้องร่วมมือกันเสริมสร้างความร่วมมือระดับโลกให้แข็งแกร่ง
หลักการนี้ใช้กับการค้าและความมั่นคง ซึ่งข้อตกลงด้านสภาพภูมิอากาศก็ไม่แตกต่างกัน
ทรัมป์เปลี่ยนวิทยาศาสตร์ของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ได้
วิทยาศาสตร์นั้นชัดเจนว่าการเผาถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซ ทำให้โลกร้อน เพิ่มความเสี่ยงหายนะภัยเป็นอันตรายต่อมนุษย์ในขณะนี้
ความเสียหายกำลังเกิดขึ้นทั่วโลก ในเดือน ต.ค. เฮอริเคนสองลูกถล่มสหรัฐ รุนแรงยิ่งขึ้นเพราะน้ำทะเลอุ่นขึ้น สร้างความเสียหายกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์ และเดือนก่อนที่สเปน ฝนตกหนักในหนึ่งวันทำให้ประชาชนเสียชีวิตหลายร้อยคน
จากปัจจัยทั้งหมดเห็นได้ว่า แท้จริงแล้วการสนับสนุนนโยบายต่อสู้โลกร้อนยังคงเป็นกระแสแรงที่ไม่อาจหยุดยั้งได้ แม้ทรัมป์กลับมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอีกครั้งก็ตาม