'ทรัมป์ 2.0' สะเทือน ‘ตลาดหุ้นญี่ปุ่น’ หวั่นภาษีกระทบกำไรบริษัทส่งออก

'ทรัมป์ 2.0' สะเทือน ‘ตลาดหุ้นญี่ปุ่น’  หวั่นภาษีกระทบกำไรบริษัทส่งออก

’ทรัมป์ 2.0' สะเทือน ‘ตลาดหุ้นญี่ปุ่น’ หวั่นนโยบายภาษี 20% กระทบกำไรบริษัทส่งออกไปยังสหรัฐ ค่ายรถยนต์ ‘ซูบารุ’ กระทบหนัก

สำนักข่าวนิกเกอิเอเชียรายงานว่า ตลาดหุ้นญี่ปุ่น กำลังเผชิญกับความกังวลที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากนโยบายการขึ้นภาษีศุลกากรที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ประกาศไว้ จะส่งผลกระทบในแง่ลบต่อบริษัทญี่ปุ่นที่พึ่งพาการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก

ชินยะ นากาโอะ ผู้จัดการกองทุนจากบริษัท Norinchukin Zenkyoren Asset Management เปิดเผยว่า "เราได้เพิ่มการลงทุนในหุ้นของ Mitsubishi Electric และหุ้นในกลุ่มธุรกิจที่คล้ายคลึงกัน พร้อมทั้งลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นกลุ่มยานยนต์ลง

นากาโอะมองว่า หุ้นที่มีความอ่อนไหวต่อสภาวะเศรษฐกิจนั้นถือเป็นโอกาสในการลงทุนที่น่าสนใจ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากแนวโน้มการลดลงของอัตราดอกเบี้ยและการสิ้นสุดของการเลือกตั้งสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม เขาเตือนว่าบริษัทที่เน้นการส่งออกเป็นหลักอาจมีความเสี่ยงสูงในแง่การลงทุน หากมีการปรับขึ้นภาษีศุลกากรตามที่คาดการณ์ไว้

เคนอิจิ คูกะ หัวหน้าฝ่ายการลงทุนตราสารทุนและตราสารหนี้ระดับโลกของบริษัท Japan Post Insurance แสดงความกังวลเกี่ยวกับ "ความเสี่ยงจากภาษีศุลกากร" เนื่องจากการที่ทรัมป์มีแนวโน้มจะกลับเข้าสู่ทำเนียบขาว โดยทรัมป์มีนโยบายที่จะเก็บภาษีศุลกากรในอัตรา 10-20% สำหรับสินค้านำเข้าทั้งหมด รวมถึงสินค้าจากญี่ปุ่น เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมและการจ้างงานในสหรัฐ

อาเคมิ ฮาตาโนะ หัวหน้านักวิเคราะห์ของ SBI Securities ระบุว่า "ความสนใจของนักลงทุนกำลังเปลี่ยนจากหุ้นที่ได้ประโยชน์จากค่าเงินดอลลาร์แข็งและเยนอ่อน ซึ่งพึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐไปสู่หุ้นที่มีแนวโน้มการเติบโตในตลาดต่างประเทศที่หลากหลายมากขึ้น

ตามข้อมูลของ Nomura Securities นโยบายภาษีในสมัยรัฐบาลทรัมป์ครั้งก่อนส่งผลกระทบอย่างมากต่อตลาดหุ้นญี่ปุ่น โดยทำให้ดัชนี TOPIX ปรับตัวลดลงตั้งแต่ประมาณหนึ่งเดือนก่อนการบังคับใช้ภาษีศุลกากรจนถึงประมาณหนึ่งสัปดาห์หลังจาก

Subaru กระทบหนัก

กลุ่มผู้ผลิตรถยนต์คาดว่าจะได้รับผลกระทบอย่างมากจากภาษีนำเข้า โดยเฉพาะ Subaru ที่พึ่งพาการส่งออกถึง 80% ของธุรกิจ และมีรายได้จากตลาดอเมริกาเหนือถึง 80%

ราคาหุ้น Subaru ปรับตัวลดลง 13% นับตั้งแต่สิ้นเดือนตุลาคม ในขณะที่ Mazda Motor ซึ่งอยู่ในสถานการณ์คล้ายกัน ปรับตัวลดลง 9% สำหรับหุ้นนอกกลุ่มยานยนต์ บริษัท Olympus ผู้ผลิตกล้องเอนโดสโคป ก็ปรับตัวลดลง 2%

ในทางตรงกันข้าม หุ้นที่ไม่ได้พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ มากนักกลับมีผลประกอบการที่ดี เช่น Mitsubishi Electric ซึ่งเน้นผลิตสินค้าให้กับจีนและประเทศในเอเชียเป็นหลัก มีราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 15% นับจากสิ้นเดือนตุลาคม

อย่างไรก็ดี นากาโอะเชื่อว่า "ตลาดจะฟื้นตัวได้จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน แม้จะมีการขึ้นภาษีของทรัมป์"

 

อ้างอิง Nikkei