เปิดสัมพันธ์‘เดนมาร์ก-ไทย’ เสริมแกร่ง‘เอฟทีเออียู-โออีซีดี’

เปิดสัมพันธ์‘เดนมาร์ก-ไทย’   เสริมแกร่ง‘เอฟทีเออียู-โออีซีดี’

ในบรรดามิตรประเทศยุโรป เดนมาร์กเป็นประเทศหนึ่งที่มีความสัมพันธ์กับไทยมายาวนานหลายร้อยปี ในวาระรับตำแหน่งใหม่ แดนนี แอนนัน (Danny Annan) เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรเดนมาร์กประจำประเทศไทย ให้สัมภาษณ์พิเศษกรุงเทพธุรกิจ ถึงความร่วมมือที่จะมีต่อไปในอนาคตทั้งในกรอบทวิภาคีและภายใต้สหภาพยุโรป

เปิดสัมพันธ์‘เดนมาร์ก-ไทย’   เสริมแกร่ง‘เอฟทีเออียู-โออีซีดี’

ทูตแอนนันเผยว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขามาเมืองไทย ก่อนหน้านี้เคยมาเที่ยวแล้วสี่ครั้ง แต่ละครั้งได้เห็นพัฒนาการของเมืองไทยมากมาย 

“กรุงเทพฯ แทบจะเป็นเมืองใหม่ทุกครั้งที่ผมมา แต่ยังรักษาเสน่ห์ทางประวัติศาสตร์ไว้ได้มากครับ” 

ทั้งนี้ ในปี 2021 เป็นปีเฉลิมฉลอง 400 ปีความสัมพันธ์ระหว่างเดนมาร์กกับไทย ที่ตอนแรกเน้นธุรกิจการค้าเป็นหลัก หลังจากนั้นได้ขยายสู่ความร่วมมือระหว่างประเทศในทุกๆ ด้าน

  • ภาพรวมการค้าการลงทุน

ทูตสรุปว่าในปี 2023 เทียบกับ 2022 พัฒนาการเป็นไปในทางบวก การส่งออกจากเดนมาร์กมาไทยเพิ่มขึ้น 8.5% สินค้าที่ส่งมาขายส่วนใหญ่ไม่ใช่สินค้าอุปโภคบริโภค  แท้จริงแล้วเป็นสินค้าที่จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่อไปมากยิ่งขึ้น และในเก้าเดือนแรกของปี 2024 ก็เป็นพัฒนาการที่ทรงตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2023 

“แต่สิ่งที่ทำให้ผมภาคภูมิใจจริงๆ คือข้อเท็จจริงที่ว่า บริษัทเดนมาร์กกว่า 100 แห่งที่กำลังปฏิบัติการอยู่ทั้้งในและนอกประเทศไทยสร้างงานในประเทศไทยไม่น้อยกว่า 50,000 อัตรา” 

  • ชูจุดแข็งพลังงานหมุนเวียน

ทูตแอนนันยกตัวอย่างบริษัทเดนมาร์กที่เอ่ยชื่อไปใครๆ ต้องรู้จัก นั่นคือแพนดอราที่ทำธุรกิจจิวเวลรี  เป็นบริษัทเดนมาร์กที่จ้างงานมากที่สุดในประเทศไทย มีพนักงาน 12,500 คนในโรงงานสามแห่ง ล่าสุดคือที่ จ.ลำพูน ทั้งโรงงานใช้พลังงานหมุนเวียนจากชีวมวลและแสงอาทิตย์ เพราะตอนนี้บริษัททั้งในเดนมาร์ก ยุโรป และไทย รวมถึงผู้บริโภคต่างรู้สึกรับผิดชอบต่อการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนยิ่งขึ้น

 เห็นได้ชัดว่ามีการให้ความสำคัญกับพลังงานหมุนเวียน ซึ่งเดนมาร์กโดดเด่นมากๆ ในเรื่องของพลังงานลม 

ทุกวันนี้ 70% ของไฟฟ้าที่ใช้กันในเดนมาร์กมาจากพลังงานหมุนเวียนเน้นที่พลังงานลม ขณะที่การใช้ไฟฟ้าของไทยมากจากพลังงานหมุนเวียน 15% ไม่ว่าจะเป็นพลังงานแสงอาทิตย์ ชีวมวล พลังงานลม

 "ความใฝ่ฝันของเราคือภายในปี 2030 ไฟฟ้าที่ใช้ในเดนมาร์กต้องมาจากพลังงานหมุนเวียน หรือปัจจุบันนี้วันไหนที่ลมแรง การใช้ไฟฟ้าในเดนมาร์กกว่า 100% มาจากพลังงานหมุนเวียน" ทูตกล่าว ซึ่งความโดดเด่นด้านนี้ทำให้เดนมาร์กผลิตไฟฟ้าส่งขายประเทศเพื่อนบ้านในยุโรปเหนือด้วย 

  • ประสิทธิภาพพลังงาน

อย่างไรก็ตาม การใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นเพียงแค่มิติเดียว  ที่สำคัญแทบจะพอๆ กันในทัศนะของทูตคือประสิทธิภาพของพลังงาน เดนมาร์กเชี่ยวชาญมากอีกเช่นกันในเรื่องความร้อนและความเย็น แน่นอนว่าเมืองไทยไม่มีปัญหาเรื่องความร้อน แต่เรื่องความเย็นและการกักเก็บความเย็นเพื่อไม่ต้องสูญเสียพลังงาน บริษัทเดนมาร์กหลายแห่งมีความชำนาญด้านนี้มาก เช่น Danfoss ที่ดำเนินการในตลาดไทยด้วย 

  • ยาและเครื่องมือแพทย์

อีกหนึ่งความเชี่ยวชาญของบริษัทเดนมาร์กคือยาและเครื่องมือแพทย์ ทูตกล่าวถึง บริษัท Novo Nordisk ผู้เชี่ยวชาญด้านเบาหวานและโรคอ้วน โดยให้ความสำคัญกับการป้องกันเบาหวานพอๆ กับการรักษา 

เมื่อไม่กี่วันก่อนบริษัทจัดงานปั่นและวิ่งขึ้นในกรุงเทพฯ เพื่อสร้างความตระหนักรู้ถึงความจำเป็นในการใช้ชีวิตที่ีสุขภาพดี เพราะคนเราสามารถหลีกเลี่ยงโรคที่เกิดจากไลฟ์สไตล์ได้ถ้ารับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ออกกำลังกาย และหันมาใช้ชีวิตอย่างคำนึงถึงสุขภาพมากขึ้น ส่วน Coloplast เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่แข็งขันมากทำงานมากมายเพื่อผู้ป่วยชาวไทย

  • อาหารและอุตสาหกรรมเกษตร

เมื่อพูดถึงความร่วมมือด้านอาหารและอุตสาหกรรมเกษตร ทูตแอนนันยอมรับว่าไทยแข็งแกร่งในด้านนี้อยู่แล้ว ประสบความสำเร็จมาก

“แต่เราก็หวังว่า ถ้าร่วมมือกันไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีเครื่องจักรกล ส่วนผสมในอุตสาหกรรมอาหาร สินค้าไทยจะแข่งขันได้มากขึ้นทั้งตลาดภายในและต่างประเทศ”

  • การเดินเรือ

เป็นอีกหนึ่งภาคส่วนที่เดนมาร์กเกี่ยวข้องกับไทยอย่างมาก ที่ท่าเรือแหลมฉบังมีบริษัทเดนมาร์ก APM Terminals ดำเนินการท่าเทียบเรือสินค้าสองแห่งในนั้น

“ผมมั่นใจว่าเวลาคุณขับรถคงได้เห็นตู้คอนเทนเนอร์เขียนป้ายบริษัท สิ่งนี้ช่วยสร้างธุรกิจไม่ใช่แค่เดนมาร์กกับไทย แต่ยังเป็นเครือข่ายโลจิสติกส์เชื่อมทั้งโลกด้วย”

  • ความสัมพันธ์ทางการเมือง

ทูตกล่าวว่า  ความสัมพันธ์ทางการเมืองระหว่างเดนมาร์กกับไทยแข็งแกร่งมานานหลายปีมากๆ คาดว่าจะมีการประชุมปรึกษาหารือทางการเมือง (Political Consultations) ระหว่างกันรอบต่อไปในครึ่งปีแรกของปี 2025 ที่กรุงโคเปนเฮเกน หลังจากพูดคุยรอบล่าสุดที่เมืองไทยช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 2023 ไปแล้ว

ท่านทูตอธิบายว่า โดยปกติสองประเทศมีสถานทูตซึ่งกันและกันอยู่แล้วเพื่อดูแลประเด็นทวิภาคีประจำวัน แต่การประชุมปรึกษาหารือทางการเมืองเป็นการประชุมในระดับสูง เปิดโอกาสให้ลงรายละเอียดมากขึ้นในประเด็นเฉพาะเจาะจง

อาจเป็นเรื่องการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม ความสัมพันธ์ทางการค้า การเยี่ยมเยือนระหว่างสองประเทศ และบ่อยครั้งที่เป็นการพูดคุยในประเด็นภูมิภาค เช่น เมียนมา  

  • ไทยมีบทบาทสำคัญแก้ปัญหาเมียนมา

เดนมาร์กได้เป็นสมาชิกไม่ถาวรในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสซี) วาระปี 2025-2026 ซึ่งเมียนมาก็เป็นประเด็นในยูเอ็นเอสซี รัฐบาลเดนมาร์กย่อมยินดีอย่างมากที่จะได้เรียนรู้เพิ่มเติมว่าไทยกำลังมองพัฒนาการในเมียนมาอย่างไร

" ไทยมีบทบาทสำคัญมากๆ เข้าใจว่าหลังจากนี้ไทยจะเป็นเจ้าภาพการประชุมว่าด้วยเมียนมา มีไม่กี่ประเทศหรอกที่จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในเมียนมาเท่าที่ไทยรู้

ดังนั้นเรื่องเมียนมา ผมมองว่าไทยแสดงบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการหาทางออกที่จะนำเมียนมากลับคืนสู่ประชาธิปไตยและเสถียรภาพ" 

ได้ยินทูตเดนมาร์กพูดอย่างนี้ก็น่ายินดี แต่ไทยจะทำอย่างไรได้ ในเมื่อเราเป็นเพื่อนบ้าน ไม่สามารถพูดอะไรได้มากเหมือนประเทศอื่นที่อยู่ห่างไกลออกไป

“ผมคิดว่าไทยในฐานะเพื่อนบ้านที่ดีทำได้มากมาย รวมถึงสามารถอธิบายให้รัฐบาลทหารทราบว่าเผด็จการทหารไม่มีอนาคตในเมียนมา ถ้าอยากพัฒนาเศรษฐกิจ ต้องการการลงทุน ก็กลับสู่ประชาธิปไตย” 

  • ความสัมพันธ์ไทย-อียู

ข้อตกลงการค้าเสรีอียู-ไทย เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่คนไทยจับตา การเจรจากลับมาอีกครั้งในเดือน ก.ย.2023 และเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา และสิ้นเดือนนี้จะเจรจารอบใหม่ ทูตมองว่า การเจรจาคืบหน้ามีโมเมนตัมที่ดี 

“ผมหวังอย่างมากเลยครับว่าเราจะได้เห็นข้อตกลงการค้าเสรีอียู-ไทยในไม่กี่ปีข้างหน้า เพราะเป็นผลประโยชน์ร่วมทั้งต่อรัฐสมาชิกอียูและไทยที่จะทำมาค้าขายกันโดยไม่มีอุปสรรคมากเกินไป จะช่วยสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจทั้งในไทยและยุโรป ซึ่งนี่คือสิ่งที่เราต้องการ” 

  • เดินหน้าเข้าโออีซีดี 

อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญมากต่อความสัมพันธ์ทางการค้าคือการเจรจาระหว่างไทยกับองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (โออีซีดี) เมื่อ 10 วันก่อนเลขาธิการโออีซีดีมาเยือนไทยเพื่อเปิดกระบวนการเข้าร่วมของไทย ทูตเดนมาร์กได้เข้าประชุมด้วย ซึ่งตามการคำนวณของไทยนั้น ถ้าทำตามคู่มือของโออีซีดีจะสามารถสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยได้เพิ่มขึ้นอีก 1.6% แน่นอนว่าย่อมสร้างผลบวกต่อเศรษฐกิจไทย พอๆ กับข้อตกลงการค้าเสรีอียู-ไทย

“ผมคงพูดได้เฉพาะในนามของเดนมาร์ก แต่ในความรู้สึกของผม ภาพลักษณ์ของไทยดีมากๆ ทั่วยุโรปซอฟต์พาวเวอร์และแบรนด์ประเทศไทยแข็งแกร่งมากๆ 

 จุดขายใหญ่สุดอันหนึ่งของคุณคืออาหารที่ยอดเยี่ยม รัฐบาลเดนมาร์กพยายามส่งเสริมการทูตอาหารเหมือนกัน ซึ่งผมไม่คิดว่าไทยจำเป็นต้องทำอะไรกับเรื่องนี้อีกแล้ว ทุกคนรู้จักอาหารไทย”

เมื่อพูดถึงสินค้าอาหาร ทูตแอนนันกล่าวด้วยว่า เดนมาร์กไม่ได้ส่งออกอาหารมาไทยมากนัก มีพวกเนย ชีส เล็กน้อยที่เห็นตามซูเปอร์มาร์เก็ต

“แต่ผมบอกได้เลยว่า ถ้ามีข้อตกลงการค้าเสรีอียู-ไทย ผมคงได้เห็นสินค้าเดนมาร์กมาวางขายในซูเปอร์มาร์เก็ตไทยมากขึ้น ภาคธุรกิจทั้งสองฝ่ายได้ประโยชน์ ทำให้ประเทศเรารวยขึ้น" ทูตเดนมาร์กสรุปถึงโอกาสที่จะเกิดขึ้นหลังมีข้อตกลงการค้าเสรีอียู-ไทยที่ทุกฝ่ายรอคอย