นักลงทุนรายย่อยทุ่ม 3 หมื่นล้านดอลลาร์ซื้อหุ้น Nvidia ขี่กระแสหุ้น AI

ซีเอ็นบีซีรายงานวันพุธ (25 ธ.ค.) ว่า นักลงทุนรายย่อยจำนวนมากแห่เข้าซื้อหุ้นยักษ์ใหญ่ด้านเอไอในปีนี้ โดยหนึ่งในนั้นคือ ไมเคิล แม็คกิลลิฟเรย์ ชายวัย 25 ปี เขาเห็นว่าปัญญาประดิษฐ์เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น จึงต้องการให้การลงทุนของเขาสะท้อนถึงสิ่งนั้น เขาใช้เวลาไม่นานในการคิดหาวิธีที่จะเล่นตามกระแสนี้

แม็คกิลลิฟเรย์ ใช้เงินหลายพันดอลลาร์ไปกับหุ้นในปีนี้จากบ้านของเขาในมิชิแกน เขากล่าวว่า

“เมื่อใดก็ตามที่คุณมองไปที่ปัญญาประดิษฐ์ มันก็เหมือนกับว่าทุกเส้นทางมุ่งสู่ Nvidia มันเป็นการลงทุนที่ยอดเยี่ยมจริงๆ”

บริษัทวิจัย Vanda Research ประเมินว่า นักลงทุนทั่วไปทุ่มเงินเกือบ 3 หมื่นล้านดอลลาร์เพื่อซื้อหุ้น Nvidia ในปีนี้ ซึ่งทำให้หุ้นตัวนี้กลายเป็นหุ้นที่ผู้ซื้อขายรายย่อยซื้อสุทธิมากที่สุดในปี 2024 ณ วันที่ 17 ธันวาคม

Nvidia ได้รับกระแสเงินไหลเข้าสุทธิจากกลุ่มนี้เกือบ 2 เท่าเมื่อเทียบกับกองทุน SPDR S&P 500 ETF Trust ซึ่งลงทุนตามดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐ นอกจากนี้ บริษัท Nvidia ยังอยู่ในเส้นทางที่จะโค่นบัลลังก์ของ Tesla ซึ่งเป็นหุ้นที่นักลงทุนรายย่อยชื่นชอบและครองตำแหน่งหุ้นที่มีการซื้อมากที่สุดในปี 2023

“Nvidia กลายเป็นหุ้นตัวหนึ่งที่ขโมยซีนจาก Tesla ได้สำเร็จด้วยราคาที่เพิ่มขึ้นอย่างน่าประทับใจ” มาร์โก ลาจีไน รองประธานอาวุโสของ Vanda กล่าวและเสริมว่า “ผลงานนั้นบอกเล่าได้ด้วยตัวเอง”

บริษัท Vanda คำนวณเงินไหลเข้าสุทธิสำหรับหลักทรัพย์แต่ละตัวโดยการลบเงินที่ไหลออกทั้งหมดออกจากเงินไหลเข้า

นับเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ของ Nvidia บริษัทยักษ์ใหญ่ด้าน AI ได้สร้างความประทับใจให้กับนักลงทุนทั้งรายใหญ่และรายย่อยมานานกว่า 1 ปีแล้ว ผู้ผลิตชิปรายนี้ได้รับการยอมรับให้เข้าสู่ดัชนีดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average) ซึ่งเป็นดัชนีที่ได้รับการยอมรับอย่างสูงเมื่อเดือนที่แล้ว และถือเป็นหุ้นที่มีผลงานดีที่สุดในดัชนีหุ้น 30 ตัวประจำปี 2024

แม้ว่าการซื้อขายในเดือนธันวาคมจะไม่ราบรื่น แต่ Nvidia ซึ่งเป็นหนึ่งในหุ้นกลุ่ม 7 นางฟ้า “Magnificent Seven” มีแนวโน้มที่ราคาหุ้นจะปิดปี 2024 สูงขึ้นมากกว่า 180% การพุ่งขึ้นดังกล่าวทำให้หุ้นนี้กลายเป็นหุ้นในกลุ่มบริษัทชั้นนำที่มีมูลค่าตามราคาตลาดเกิน 3 ล้านล้านดอลลาร์ และ Nvidia ยังกลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงสุดเป็นอันดับสองรองจาก Microsoft ในสหรัฐอเมริกาอีกด้วย