‘อินเดีย’ ผงาดแทนจีน ตลาดดาวรุ่งใหม่สำหรับธุรกิจญี่ปุ่น

‘อินเดีย’ ผงาดแทนจีน ตลาดดาวรุ่งใหม่สำหรับธุรกิจญี่ปุ่น

‘อินเดีย’ กำลังกลายเป็นขุมทรัพย์แห่งโอกาสใหม่สำหรับเหล่าบริษัทญี่ปุ่น จากเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างเร็วและประชากรจำนวนมาก โดย IMF คาดว่า จีดีพีของอินเดียมีแนวโน้มแซงหน้าญี่ปุ่นในปี 2569 ขณะที่จีนเผชิญความท้าทายทางเศรษฐกิจ

เว็บไซต์นิกเกอิ เอเชียรายงานว่า “อินเดีย” ได้กลายเป็นหนึ่งใน “ตลาดปลายทางยอดนิยมมากที่สุด” สำหรับเหล่าบริษัทญี่ปุ่น จากการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศที่น่าดึงดูด และเสน่ห์ที่ลดลงของจีน ตามการสำรวจที่เผยแพร่โดยองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) ในเดือนพฤศจิกายน 

สำหรับ “อินเดีย” ครองอันดับหนึ่งในรายชื่อประเทศที่บริษัทญี่ปุ่นวางแผนขยายธุรกิจในอีก 1-2 ปีข้างหน้า โดยมีผู้ตอบแบบสอบถาม 80.3% ระบุว่า กำลังมองหาการเติบโตในอินเดีย ซึ่งเพิ่มขึ้น 4.7% จากการสำรวจในปีก่อนหน้า

ขณะเดียวกัน ส่วนแบ่งของ “จีน” ลดลงเหลือ 21.7% ซึ่งต่ำที่สุดในข้อมูลที่เทียบเคียงได้ย้อนกลับไปถึงปี 2550 ส่วน “ไทย” ที่มีสถานการณ์ทางการเมืองไม่แน่นอน ส่วนแบ่งของธุรกิจญี่ปุ่นที่วางแผนขยายธุรกิจลดลง 8.1 จุดจากปีก่อนหน้าเหลือเพียง 34.1%

“เรากำลังเห็นการเติบโตอย่างต่อเนื่องในอินเดีย” มาซาชิ โคโนะ จากแผนกวิจัยของ JETRO กล่าว การเติบโตของผลกำไรเป็นปัจจัยสนับสนุนแผนการขยายธุรกิจเหล่านี้ โดยจากการสำรวจของ JETRO บริษัทที่ตอบแบบสอบถาม 55% คาดว่า กำไรจากการดำเนินงานในอินเดียจะสูงขึ้นในปี 2567 ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงที่สุดสำหรับทุกเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ สัดส่วนของบริษัทที่คาดการณ์กำไรจากการดำเนินงานในอินเดียเพิ่มขึ้น 6.8 จุด เป็น 77.7% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2551

ตามรายงานแนวโน้มการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศของญี่ปุ่นที่ธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JBIC) เผยแพร่ในเดือนธันวาคมว่า ผู้ผลิตญี่ปุ่น 58.7% มองว่า อินเดียเป็นประเทศที่มีแนวโน้มดีในตลอดสามปีข้างหน้า ซึ่งตัวเลขนี้เพิ่มขึ้น 10.1 จุดเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และเป็นปีที่สามติดต่อกันที่อินเดียติดอันดับหนึ่งในเกณฑ์นี้ ขณะเดียวกัน เปอร์เซ็นต์ของจีนลดลงเหลือ 17.4% ซึ่งต่ำที่สุดเท่าที่เคยสำรวจ

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของอินเดียมีแนวโน้ม “แซงหน้าญี่ปุ่น” ในปี 2569 จนขึ้นเป็นเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่สี่ของโลก รองจากสหรัฐ จีน และเยอรมนี อีกทั้งอินเดียกำลังมุ่งหน้า “แซงหน้าเยอรมนี” และกลายเป็นเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่สามในปี 2571

เหตุผลเนื่องจากเป็นที่คาดว่า ชนชั้นกลางของอินเดียจะขยายตัวอย่างรวดเร็วในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า บริษัทญี่ปุ่นจึงกระตือรือร้นที่จะเกาะกระแสความต้องการในประเทศที่มีประชากรกว่า 1,400 ล้านคน

แม้ว่าข้อมูลของรัฐบาลอินเดียระบุว่า การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศโดยรวมในอินเดียลดลงในปี 2566 แต่ “การลงทุนจากญี่ปุ่น” มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามข้อมูลจากกระทรวงการคลังของญี่ปุ่น ปริมาณการลงทุนของญี่ปุ่นระหว่างเดือนมกราคมถึงตุลาคม 2567 สูงกว่าในปี 2565 แล้ว

อย่างไรก็ตาม มีอุปสรรคใหม่ ๆ ในการทำธุรกิจในอินเดียเกิดขึ้น ได้แก่ ต้นทุนแรงงานที่สูง การหมุนเวียนเข้าออกของพนักงานที่เพิ่มขึ้น และกฎเกณฑ์ทางภาษีที่ยุ่งยาก ซึ่งเป็นอุปสรรคสำหรับบริษัทข้ามชาติมานานแล้ว

สำหรับบริษัทญี่ปุ่นขนาดใหญ่ที่ลงทุนในอินเดียมานานกว่า 10 ปี มองแนวโน้มทำกำไรสูงถึง 90% สะท้อนให้เห็นถึงความมั่นคงและประสบการณ์ในการดำเนินธุรกิจในตลาดนี้ ในขณะที่บริษัทขนาดกลางและขนาดย่อม ซึ่งคิดเป็นเพียง 15% ของบริษัทญี่ปุ่นทั้งหมดในอินเดีย และมีประสบการณ์ในการลงทุนยังไม่นานนัก มีความมั่นใจในผลตอบแทนน้อยเพียง 60%

อ้างอิง: nikkei