สรุป 5 ประเด็น 'สตาร์เมอร์' คุยกับ 'ทรัมป์' อังกฤษ-ยุโรป จะได้อะไร

สรุป 5 ประเด็นสำคัญ "เคียร์ สตาร์เมอร์" นายกรัฐมนตรีอังกฤษ หารือ "ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์" ของสหรัฐ อังกฤษและยุโรปจะได้อะไร
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นเจ้าภาพต้อนรับการมาเยือนทำเนียบขาวครั้งแรกของเคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เพื่อหารือเกี่ยวกับความมั่นคงของยูเครน ความสัมพันธ์ทางการค้า และอนาคตขององค์การสนธิสัญญาแลตแลนติกเหนือ (นาโต)
แต่การประชุมระหว่างสองผู้นำเมื่อวันพฤหัสบดี (27 ก.พ.) ได้ส่งสัญญาณความตึงเครียดที่เริ่มปะทุขึ้นระหว่างสหรัฐและพันธมิตร ขณะที่สตาร์เมอร์พยายามเลี่ยงความขัดแย้งกับทรัมป์ ผู้ที่ขึ้นว่าเป็นคนเจ้าอารมณ์
ในการปรากฏตัวต่อสาธารณะ สตาร์เมอร์ได้แสดงมุมมองที่ดูขัดแย้งกับมุมมองของทรัมป์ แต่ก็พยายามระวังไม่ให้ขัดแย้งกับทรัมป์โดยตรง
ขณะที่ทรัมป์ก็เหมือนจะรู้ และชมว่านายกฯ อังกฤษเป็นนักเจรจาที่เข้มแข็ง แต่บอกว่าไม่รู้ว่าเขาจะชอบแนวทางนั้นหรือไม่
หลังจากนั้นบรรยากาศก็พลิกผัน เมื่อนักข่าวถามเกี่ยวกับความต้องการของทรัมป์ที่อยากให้แคนาดาเป็นรัฐหนึ่งของสหรัฐ สตาร์เมอร์ก็ตอบปัด
“ผมรู้ว่าคุณพยายามสร้างความแบ่งแยกระหว่างเรา ซึ่งนั่นไม่จริง เราเป็นประเทศที่ใกล้ชิดกันมากที่สุด และเรามีการหารือที่ยอดเยี่ยมมากในวันนี้”
ด้านทรัมป์ตัดบทว่า “พอแล้ว พอแล้ว ขอบคุณ”
แล้วทั้งสองผู้นำได้หารืออะไรกันบ้าง อัลจาซีรา สรุป 5 ประเด็นสำคัญไว้ดังนี้
คิงชาลส์เชิญทรัมป์เยือนอังกฤษ
ในช่วงเริ่มประชุม สตาร์เมอร์ได้มอบช่อดอกไม้มะกอกให้ทรัมป์ พร้อมจดหมายลงพระปรมาภิไธยของสมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 เชิญทรัมป์ไปเยือนสหราชอาราจักร
ทรัมป์ตอบรับทันที ซึ่งโดยปกติแล้ว ปธน.สหรัฐมักไม่ค่อยได้เข้าเฝ้ากษัตริย์ของอังกฤษถึง 2 ครั้ง แต่ทรัมป์เป็นหนึ่งในปธน.สหรัฐ ที่จะได้เข้าเฝ้าครั้งที่ 2 ซึ่งครั้งแรกทรัมป์เข้าเฝ้าเมื่อปี 2562 ภายใต้รัชกาลของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2
นอกจากนี้ สตาร์เมอร์ยังได้เล่าถึงภูมิหลังที่แตกต่างระหว่างตนกับทรัมป์
“เป็นที่ทราบดีว่าวัฒนธรรมทางการเมืองของเราแตกต่างกัน แต่เรามีอะไรหลายอย่างที่เหมือนกัน” สตาร์เมอร์กล่าวยอมรับแนวคิดประชานิยมของทรัมป์ “สิ่งที่สำคัญคือการชนะ หากคุณไม่ได้รับชัยชนะ คุณก็ไม่สามารถทำผลงานได้”
ทรัมป์แอบวีนเรื่องการค้า แต่สตาร์เมอร์สวนทัน
ทรัมป์เผยว่า เขาและสตาร์เมอร์ได้หารือเกี่ยวกับการค้าระหว่างกัน ซึ่งการค้าของทั้งสองประเทศมีมูลค่าราว 1.48 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2567 และทรัมป์หวังว่าข้อตกลงทางการค้าของทั้งสองจะบรรลุเร็วๆ นี้
แต่เรื่องที่น่ากังวลคือ ทรัมป์ได้เน้นย้ำซ้ำๆ ว่า การค้าของอังกฤษและสหรัฐไม่เป็นธรรม ทำให้สตาร์เมอร์ต้องเอ่ยปากตักเตือนเบาๆ
“ความสัมพันธ์การค้าระหว่างเราไม่ใช่แค่แข็งแกร่ง แต่ยุติธรรม สมดุล และมีการตอบแทนซึ่งกันและกันด้วย”
ในระหว่างประชุมทรัมป์ได้ให้ เจ.ดี. แวนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐ มีเวลาทบทวนเสรีภาพในการพูดในอังกฤษ ซึ่งแวนซ์เคยสร้างความตึงเครียดในการประชุมความมั่นคงในมิวนิก เยอรมนี เมื่อวันที่ 14 ก.พ. โดยกล่าวโจมตีอังกฤษและชาติยุโรปว่าประชาธิปไตยเสื่อมถอย
แต่แวนซ์กลับตอบถึงประเด็นในที่ประชุมมิวนิกเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาว่า “ผมพูดอะไรก็ตามนั้น”
ด้านนายกฯ อังกฤษ ตอบ “แน่นอนว่าเรามีความสัมพันธ์ที่พิเศษกับเพื่อน ๆ ในสหราชอาณาจักร และพันธมิตรในยุโรปแต่เราก็ทราบว่ามีการละเมิดเสรีภาพในการพูด ซึ่งส่งผลกระทบไม่เพียงแค่ชาวอังกฤษเท่านั้น เราให้สิทธิเสรีภาพในการพูดมานานมากๆ แล้วในอังกฤษ และมันจะยังคงมีสืบไป” สตาร์เมอร์กล่าว และเสริมว่าตนภูมิใจในเสรีภาพการพูดในอังกฤษ
ทรัมป์ยืนยันช่วยเหลือพันธมิตรนาโต
แนวทางที่แปลกแยกและบางครั้งก็สร้างความวุ่นวายให้กับความสัมพันธ์ทางการทูตของทรัมป์ ได้สร้างความกังวลว่าทรัมป์อาจถอนสหรัฐออกจากพันธมิตรนาโต
เมื่อผู้สื่อข่าวถามทรัมป์โดยตรงว่า เขาจะสนับสนุนมาตรา 5 ของสนธิสัญญาก่อตั้งนาโต ที่กำหนดให้สมาชิกทุกคนช่วยเหลือพันธมิตรที่ถูกโจมตีทางทหารหรือไม่
“ผมจะสนับสนุน” ทรัมป์ตอบ และบอกว่าไม่จำเป็นต้องบอกเหตุผล
ด้านสตาร์เมอร์ได้อ้างถึงประวัติศาสตร์เพื่อเสริมแกร่งพันธมิตรสหรัฐ-สหราชอาณาจักร ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสายสัมพันธ์ทางการทูตที่ใกล้ชิดที่สุดที่อังกฤษมี และย้ำว่า ตนกับทรัมป์จะฉลองครบรอบ 80 ปี ชัยชนะในยุโรปจากการที่กองกำลังพันธมิตรช่วยให้การสู้รบในยุโรปในสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง
“เรายังคงเป็นพันธมิตรแรกของกันและกันในด้านการทหาร พร้อมช่วยเหลือกันและกัน เพื่อต่อสู้กับภัยคุกคามไม่ว่าจะเกิดขึ้นที่ใด ไม่มีกองทัพไหนผูกพันมากไปกว่าเรา ไม่มีประเทศไหนร่วมมือกันรักษาความปลอดภัยของประชาชนได้มากไปกว่านี้แล้ว” นายกฯ สตาร์เมอร์ กล่าว
นอกจากนี้ สตาร์เมอร์ยังได้ย้ำคำเรียกร้องของทรัมป์ ที่ต้องการให้ชาติยุโรป รวมถึงอังกฤษใช้จ่ายมากขึ้นในนาโต โดยทรัมป์กล่าวไว้ว่า ต้องการให้พันธมิตรลงทุนด้านการทหารอย่างน้อย 5% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) เพื่อเสริมแกร่งกองทัพของตน ขณะที่สหรัฐใช้จ่ายเพียง 3.4% ของจีดีพี มูลค่าราว 9.67 แสนล้านดอลลาร์
‘สตาร์เมอร์’ เตือนดีลสันติภาพยูเครน ต้องไม่เอื้อประโยชน์ผู้รุกราน
ขณะที่หลายชาติประณามการรุกรานของรัสเซีย แต่ไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ทรัมป์ได้สร้างความประหลาดให้กับผู้สังเกตการณ์ด้วยการกล่าวโทษยูเครนที่เริ่มต้นสงคราม และว่าประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกีเป็นเผด็จการ เพราะไม่ยอมจัดการเลือกตั้งในช่วงสงคราม และสหรัฐยังได้จัดประชุมกับรัสเซียเพื่อปูทางสู่การหารือสันติภาพโดยตรงในซาอุดีอาระเบีย ทำให้ผู้นำยุโรปรู้สึกถูกทิ้งอยู่ข้างสนาม
ในโอกาสเยือนสหรัฐท่ามกลางความกังวลใจเรื่องสงคราม สตาร์เมอร์ได้พูดเอาใจทรัมป์ด้วยการยกย่องการผลักดันการเจรจาสันติภาพ แต่ก็ได้กล่าวเตือนด้วยว่า การเจรจาต้องทำอย่างถูกต้อง
“สันติภาพอาจไม่เกิดขึ้นถ้าให้รางวัลตอบแทนผู้รุกราน หรือให้การสนับสนุนรับบาลทหารอย่างอิหร่าน” นายกฯ อังกฤษ กล่าว และว่า ประวัติศาสตร์ต้องอยู่ข้างผู้สร้างสันติ ไม่ใช่ผู้รุกราน การเดิมพันไม่ควรสูง และจะมุ่งมั่นทำงานร่วมกันเพื่อบรรลุข้อตกลงที่ดี
ทั้งนี้ทรัมป์มีกำหนดพบกับปธน.เซเลนสกีที่ทำเนียบขาวในวันศุกร์นี้ ตามเวลาสหรัฐ ซึ่งคาดว่าจะมีการลงนามข้อตกลงแร่หายาก แต่ยังไม่ชัดเจนว่ายูเครนจะได้รับการรับประกันความมั่นคงอย่างไรบ้าง
ทรัมป์กล่าวไว้ว่า “ผมคิดว่าเราจะประสบความสำเร็จอย่างมากในการบรรลุสันติภาพ และผมคิดว่ามันจะเป็นสันติภาพที่ยั่งยืน และมันจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้ หากไม่เกิดขึ้นโดยเร็ว มันก็อาจจะไม่เกิดขึ้นเลย”
นายกฯ อังกฤษหนุนแนวทางสองรัฐในกาซา ทรัมป์เลี่ยงพูดยั่วยุ
ทรัมป์เคยกล่าวไว้ว่าต้องการครอบครองกาซา และอยากให้ฟื้นฟูพื้นที่สงครามโดยให้ประชาชนชาวกาซาอพยพไปอยู่ที่อื่นถาวร แต่เมื่อวันพฤหัสบดี ทรัมป์เลี่ยงการพูดยั่วยุเกี่ยวกับกาซา และพูดแบบอ้อมๆ แทน
“เราทำงานหนักมากในตะวันออกกลาง และกาซา และทุกปัญหาทั้งหมด ตลอดหลายปี หลายศตวรรษ กาซาเป็นพื้นที่ที่ท้าทาย แต่ก็สามารถเป็นพื้นที่ที่สวยขึ้นมาได้ และผมคิดว่าเราจะหาแนวทางแก้ไขที่ดีได้สักทาง”
ในทางกลับกันสตาร์เมอร์เสนอการสนับสนุนอย่างมั่นคงต่อ "แนวทางสองรัฐ" ซึ่งจะเป็นการยอมรับและรับประกันอำนาจอธิปไตยของชาวปาเลสไตน์
“เราต้องทำทุกอย่างที่ทำได้ เพื่อมั่นใจว่าการหยุดยิงยังคงดำเนินต่อไป เพื่อที่ตัวประกันจะได้ถูกส่งกลับคืนมาได้มากขึ้น และความช่วยเหลือที่จำเป็นจะได้ถูกส่งเข้าไป เราจำเป็นต้องให้ชาวปาเลสไตน์ได้กลับมาและสร้างชีวิตใหม่ และเราทุกคนต้องสนับสนุนพวกเขาในการทำเช่นนั้น” สตาร์เมอร์กล่าว พร้อมเสริมว่า “และใช่ครับ ผมเชื่อว่าทางออกสองรัฐเป็นหนทางเดียวที่จะนำไปสู่สันติภาพที่ยั่งยืนในภูมิภาค”
อ้างอิง: Al Jazeera