‘กองทัพนาโต VS รัสเซีย’ ยุโรปแกร่งพอหรือไม่ ถ้าไร้การสนับสนุนจากสหรัฐ

เผยตัวเลขกองทัพนาโต จะสามารถปกป้องภัยคุกคามจากรัสเซียให้ยูเครนได้หรือไม่ หากไร้การสนับสนุนทางทหารจากสหรัฐ
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 2 มี.ค. ที่ผ่านมา ผู้นำยุโรปได้บรรลุข้อตกลงร่วมกับยูเครน 4 ข้อ เพื่อนำไปสู่การเจรจาสันติภาพ และช่วยรับประกันความมั่นคงให้ยูเครน ทว่า เมื่อวันจันทร์ที่ 3 มี.ค. ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐ มีคำสั่งให้ระงับการสนับสนุนทางทหารแก่ยูเครนชั่วคราว หลังปะทะคารมกับปธน.โวโลดิมีร์ เซเลนสกีของยูเครน ที่ทำเนียบขาวเมื่อวันศุกร์ที่ 28 ก.พ.
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวก่อให้เกิดความกังวลและเกิดคำถามว่า บรรดาสมาชิกนาโตในยุโรปแข็งแกร่งพอที่จะรับประกันความมั่นคงให้ยูเครนได้หรือไม่ หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากสหรัฐ
สมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือนาโต มีทั้งหมด 32 ประเทศ ตามข้อมูลในปี 2024 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศที่อยู่ในยุโรปและอเมริกาเหนือ หากรวมกองทัพของสหรัฐแล้ว สมาชิกนาโตจะมีกองกำลังมากถึง 2 ล้านนาย ซึ่งรวมกองทัพขนาดเล็กที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติตามคำสั่งนาของนาโตโดยตรงด้วย
สหรัฐ เป็นสมาชิกนาโตที่มีทหารประจำการมากที่สุด ราว 1,300,000 นาย รองลงมาเป็นตุรกีมีทหารประจำการอยู่ 481,000 นาย ส่วนฝรั่งเศส และอังกฤษ ซึ่งเป็นผู้นำในการประชุมผู้นำยุโรปกับยูเครนเมื่อวันอาทิตย์นั้น มีทหารประจำการ 205,000 นาย และ 138,000 นาย ตามลำดับ
นอกจากนี้ นาโตยังมีอาวุธยุทโธปกรณ์จำนวนมาก ทั้งเครื่องบิน 7,000 ลำ รถถัง 6,800 คัน เรือรบ 2,170 ลำ และเรือบรรทุกเครื่องบิน 6 ลำ ในขณะที่รัสเซีย มีทหารประจำการราว 1,320,000 นาย และมีคลังแสงขนาดใหญ่มากเช่นกัน ทั้งเครื่องบิน 4,292 ลำ รถถัง 5,750 คัน เรือรบ 449 ลำ และเรือบรรทุกเครื่องบิน 1 ลำ
นอกจากนี้ สหรัฐยังมีฐานทัพประจำการในประเทศยุโรปหลายแห่ง ได้แก่ อังกฤษ เนเธอร์แลนด์ เบลเยียม เยอรมนี โปแลนด์ อิตาลี สเปน กรีซ และตุรกี รวมแล้วมีกองกำลังอยู่ในยุโรปราว 65,000 นาย พร้อมคลังแสงอาวุธทันสมัย ซึ่งรวมถึงคลังอาวุธที่จัดเตรียมไว้ล่วงหน้า 6 แห่งในยุโรป พร้อมรถถังและยานเกราะ ฝูงบินทางอากาศ 8 ฝูง เรือพิฆาตของกองทัพเรือ 4 ลำ และระเบิดนิวเคลียร์ประมาณ 100 ลูก และสหรัฐยังมีทหารราว 10,000 นายที่ประจำการหมุนเวียนในโปแลนด์ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของแนวรบด้านตะวันออกของนาโตกับรัสเซีย
ขณะที่รัสเซียมีกองทัพประจำการในต่างประเทศเช่นกัน ส่วนใหญ่เป็นประเทศที่เคยอยู่ภายใต้สหภาพโซเวียตมาก่อน ตามข้อมูลของมูลนิธิจอร์เจียเพื่อการศึกษาด้านยุทธศาสตร์และระหว่างประเทศ เผยว่า ในปี 2567 รัสเซียมีฐานทัพขนาดใหญ่ 2 แห่งในเบลารุส, ในคาซัคสถาน 2 แห่ง, ในอาเมเนีย 2 แห่ง, ในดินแดนที่เป็นข้อพิพาทในเซาท์ออสซีเชียและอับคาเซียของจอร์เจีย และในคีร์กีซสถาน ทาจิกิสถาน คาซัคสถาน และภูมิภาคทรานส์นีสเตรียที่แยกตัวออกไปของมอลโดวา ประเทศละ 1 ฐานทัพ
ทั้งนี้ สหรัฐถือเป็นผู้รับประกันความมั่นคงให้ยุโรปมาตั้งแต่สมัยสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นช่วงที่สหรัฐร่วมก่อตั้งนาโต และส่งทหารหลายแสนนายเข้าไปในยุโรปเพื่อต้านทานอิทธิพลของสหภาพโซเวียต และช่วยรับประกันความมั่นคงให้ยุโรปมาตลอดนับแต่นั้น และนั่นเท่ากับว่า ถ้าถอนกำลังทหารออกจากยุโรป ภูมิภาคนี้ต้องจัดตั้งกองทัพเพิ่มอีกกว่า 60,000 นาย เพื่อทดแทนกองทัพสหรัฐที่ประจำการในยุโรป
นอกจากส่งทหารไปให้ยุโรปแล้ว สหรัฐยังได้ให้งบประมาณสนับสุนนทางทหารแก่นาโตด้วย รวมประมาณ 860,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2024 มากกว่างบสนับสนุนจากสมาชิกนาโตประเทศอื่นๆ 2 เท่า และเมื่อเกิดสงครามยูเครน สหรัฐก็ได้ให้ความช่วยเหลือทางทหารโดยตรงแก่ยูเครนไป 65,000 ล้านดอลลาร์ และเมื่อรวมความช่วยเหลือด้านอื่นๆ แล้วจะมีมูลค่ามากกว่า 183,000 ล้านดอลลาร์
ขณะที่ยุโรปให้ความช่วยเหลือยูเครนไปแล้วราว 141,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมงบประมาณให้ความช่วยเหลือการทหารโดยตรงราว 51,000 ล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม แม้นาโตมีงบประมาณมากมาย แต่สำนักข่าวอัลจาซีราบอกว่า สมาชิกนาโตยังคงต้องพึ่งพาสหรัฐอย่างหนักในการป้องกันภัยคุกคาม ขณะที่ปธน.ทรัมป์ได้เรียกร้องให้ยุโรปเพิ่มงบประมาณกลาโหมมากขึ้น
ปธน.ทรัมป์ได้เรียกร้องให้ยุโรปเพิ่มงบประมาณกลาโหมจากเดิมราว 2% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) เป็น 5% ของจีดีพี เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้ภูมิภาคมากขึ้น ซึ่งสมาชิกนาโตที่ใช้จ่ายงบประมาณกลาโหมมากที่สุด 3 อันดันแรกในปี 2024 คือ โปแลนด์ เอสโตเนีย และสหรัฐ โดยใช้จ่ายราว 3-4% ของจีดีพี ขณะที่ประเทศอังกฤษ เยอรมนี และฝรั่งเศสใช้จ่ายราว 2-2.3% ของจีดีพี
โดยสรุปแล้ว สำนักข่าวอัลจาซีรามองว่า แม้ศักยภาพกองทัพของรัสเซียไม่เทียบเท่ากองทัพของนาโต แต่ก็อาจเป็นบททดสอบยุโรปที่มีความยากมากขึ้น หากสหรัฐถอนความช่วยเหลือออกไปจากภูมิภาค
แม้แต่ คาจา คัลลาส หัวหน้าฝ่ายนโยบายต่างประเทศของสหภาพยุโรป เคยส่งเสียงเตือนว่า ความล้มเหลวในการใช้จ่ายทางทหาร แสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอ และยุโรปควรตื่นได้แล้ว
อ้างอิง: Al Jazeera