กูรูเตือนพิษภาษีทรัมป์ ‘จีน - สหรัฐ’ รอด ที่เหลือตายหมด

กูรูเตือนพิษภาษีทรัมป์ ‘จีน - สหรัฐ’ รอด ที่เหลือตายหมด

การกลับคืนสู่ทำเนียบขาวในรอบนี้ของโดนัลด์ ทรัมป์ สร้างความปั่นป่วนมาโดยตลอด โดยเฉพาะคำประกาศเก็บภาษีที่ออกมาไม่เว้นแต่ละวัน แล้วอย่างนี้ภาคธุรกิจไทยจะรับมืออย่างไร

สมาคมจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (ทีเอ็มเอ) จัดงาน Executive Insight: Shifting Geopolitics: Navigating Risks and Opportunities เผยมุมมองของผู้เชี่ยวชาญต่อสถานการณ์สงครามการค้า ผศ.ดร.อาร์ม ตั้งนิรันดร รองคณบดี คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้อำนวยการศูนย์จีนศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา มองศึกระหว่างทรัมป์กับจีนภายใต้กรอบโลกาภิวัตน์ใหม่ กล่าวคือ เคยมีคนมองว่าโดนัลด์ ทรัมป์เป็นแค่ข้อยกเว้นสั้นๆ อีกไม่นานอเมริกาก็กลับมาเหมือนเดิม  กูรูเตือนพิษภาษีทรัมป์ ‘จีน - สหรัฐ’ รอด ที่เหลือตายหมด

“ตอนทรัมป์ 1 ก็มีคนพูดแบบนี้แต่ไบเดนไม่ได้เลิกกำแพงภาษีที่ทรัมป์กำหนดไว้ เทควอร์ของไบเดนหนักกว่าเทรดวอร์ของทรัมป์เสียอีก ไบเดนเป็นความต่อเนื่องของทรัมป์มากกว่าย้อนกลับไปสู่ยุคโอบามา” นักวิชาการรายนี้เปิดฉาก 

เครื่องยืนยันว่ารอบนี้ทรัมป์ไม่ได้มาเล่นๆ คือ  โปรเจกต์ 2025 ซึ่งเป็นกลุ่มคลังสมองสายอนุรักษนิยมของอเมริกา ต้องการปฏิวัติรากฐาน ผลักอเมริกาให้กลับไปทางขวา โดยมีเวลาทำงานเพียงแค่สองปีเท่านั้น ยิ่งทรัมป์ได้อีลอน มัสก์มาผสมโรงด้วยภารกิจล้าง deepstate ล้างฝ่ายซ้าย ล้างค่านิยมเสรี (woke) ออกไปให้หมด กลายเป็น culture war ในอเมริกา 

อาร์มย้ำว่า ประธานาธิบดีแฟรงกลิน ดี รูสเวลต์ เคยผลักอเมริกาไปทางซ้ายด้วยโครงการนิวดีล แต่รอบนี้ทรัมป์ผลักไปในทางตรงข้าม 

“ที่ต้องเปลี่ยนมากขนาดนี้ก็เพื่อสู้กับจีน เกิดฉันทามติใหม่ในหมู่ชนชั้นนำอเมริกา ถ้าทำแบบเดิม (โลกาภิวัตน์) ทุกคนรวยขึ้นแต่จีนจะแซงหน้าอเมริกา แต่ทำแบบนี้ทุกคนจนหมดแต่จีนเจ็บหนักกว่า อเมริกาเจ็บน้อยที่สุด”

  • เป้าหมาย ‘อีลอน มัสก์’ 

อีลอน มัสก์ ต้องการลดค่าใช้จ่าย ลดการขาดดุลงบประมาณ เพื่อนำเงินไปลงทุนทางการทหารมากขึ้น หลังจากสมัยไบเดนลดงบประมาณด้านการทหารลง สกอตต์ เบสเซนท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง วางเป้าหมาย 3-3-3 หมายถึง ลดการขาดดุลงบประมาณให้เหลือ 3% เศรษฐกิจโต 3% และขุดเจาะน้ำมันให้ได้วันละ 3 ล้านบาร์เรล 

เป้าหมายของรัฐบาลคือ ต้องการให้โรงงานย้ายกลับมา เลิกวุ่นวายกับยูเครน ตะวันออกกลางเพื่อทุ่มพลังทั้งหมดไปจัดการกับจีน เรียกได้ว่าเป็นแนวทางที่เน้นการปฏิบัติจริงมากกว่าอุดมการณ์ 

ความแตกต่างระหว่างทรัมป์ 1.0 กับ 2.0 อยู่ที่ว่า รัฐบาลทรัมป์ 1 ประกอบด้วยทรัมป์กับทีมงานที่ไม่ค่อยฟังคำสั่งของเขา ขณะที่ ทรัมป์ 2 เลือกคนจงรักภักดีมาทำงาน คนที่จัดการทุกอย่างก็คือ ทรัมป์ เป็นคนดีลกับจีน และรัสเซียด้วยตนเอง

  • เจาะลึกสงครามการค้า

แนวคิดหลักว่าด้วยสงครามการค้ามีสองกระแส 

กระแสที่ 1  เชื่อว่าทรัมป์ขู่เพื่อให้ทุกคนมาเจรจาสุดท้ายก็ไม่ทำจริง ถ้าทำจริงโลกคงวุ่นวาย 

กระแสที่ 2 เชื่อว่าสงครามการค้าจะเกิดขึ้นจริง รุนแรง เป็นการเปลี่ยนแปลงระดับรากฐานการค้าโลก ในกระแสนี้บางคนมองว่า ทรัมป์ทำจริงเฉพาะกับจีน 

"ผมมองว่าสุดท้ายซัดทุกคน และเผลอๆ คนอื่นจะเป็นเป้าใหญ่กว่าจีนด้วย ทรัมป์แถลงเองในสภาคองเกรสว่าจะซัดอียู ญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ สรุปว่าทรัมป์ซัดทุกคน ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงระดับรากฐาน และย้อนคืนโลกาภิวัตน์ เล่นงานทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน" 

ที่เป็นเช่นนี้ อาร์ม สรุปว่า เป้าหมายของทรัมป์มีสองข้อ 

1. ต้องการลงโทษจีน ซึ่งจะซัดจีนประเทศเดียวไม่ได้เพราะจีนปรับตัวไปมากตั้งแต่สมัยทรัมป์ 1 ลดพึ่งพาการส่งออก และพึ่งพาอเมริกาน้อยลงมาก ทรัมป์จึงต้องซัดทั่วโลกด้วย reciprocal tariff เก็บภาษีตอบโต้ทุกประเทศที่ได้เปรียบดุลการค้าอเมริกา 

การเก็บภาษีกับคู่ค้าอาจทำให้เกิดเงินเฟ้อแต่ก็เพียงเล็กน้อย ซึ่งทรัมป์จะแก้เกมด้วย 1) การลดภาษีภายในประเทศ สามารถบอกกับประชาชนได้ว่าเมื่อประชาชนมีเงินเหลือมากขึ้นย่อมซื้อของแพงขึ้นได้ สามารถโฆษณากับโลกได้ว่าถ้ามาลงทุนในอเมริกาจะเสียภาษีน้อยมาก แต่ถ้าไปลงทุนที่อื่นจะถูกเก็บภาษีเมื่อส่งมาอเมริกา 2)  กดราคาพลังงาน เพื่อให้มีช่องว่างมากขึ้นในการกดเงินเฟ้อ 

 2. ดึงโรงงานกลับมาอเมริกา โดยเฉพาะสินค้าที่ไม่ได้ผูกกับห่วงโซ่อุปทานอันซับซ้อน การย้ายกลับไปอเมริกาไม่ต้องกังวลเรื่องค่าแรงสูงเนื่องจากโรงงานใช้ระบบอัตโนมัติ การจ้างงานมหาศาลตามที่ทรัมป์คุยไว้ไม่มี แต่ทรัมป์จะออกข่าวการเปิดโรงงานต่างๆ โฆษณาถึงเม็ดเงินลงทุน เท่านี้ก็เป็นการทำตามนโยบายที่ได้หาเสียงไว้ 

ประโยชน์ที่ได้จากการลงโทษจีน และดึงโรงงานกลับมาคือ

1. ความมั่นคงแห่งชาติ การที่รถถังอเมริกาต้องใช้ชิ้นส่วนจากประเทศจีนถือเป็นเรื่องน่ากังวล ดังนั้นอุตสาหกรรมเชิงยุทธศาสตร์ อุตสาหกรรมเทคโนโลยีต้องผลิตในอเมริกา 

2. ความรวดเร็วในการพัฒนาเทคโนโลยี อีลอน มัสก์ กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า ถ้าห้องแล็บวิจัย และพัฒนากับโรงงานการผลิตอยู่ในที่เดียวกันย่อมพัฒนาเทคโนโลยีได้อย่างรวดเร็ว อเมริกามีปัญหาเพราะมีแต่ R&D แต่โรงงานผลิตอยู่เซินเจิ้น หัวเว่ยพัฒนาเร็วด้วยเหตุนี้  ดังนั้นอเมริกาจำต้องรื้อฟื้นการผลิตในประเทศ

อาร์ม เผยว่า เคยคุยกับคนจากธนาคารโลก สมัยไบเดนสร้างผลกระทบต่อการค้าโลกยิ่งกว่าทรัมป์เพียงแต่ใช้นโยบายไม่เหมือนกัน ทรัมป์ใช้ภาษี ไบเดนใช้การอุดหนุน (subsidies) แต่เป้าหมายทางนโยบายเหมือนกันคือ ต้องการดึงโรงงานกลับอเมริกา 

“ไบเดนบอกให้ TSMC มาตั้งโรงงานที่แอริโซนาโดยรัฐบาลวอชิงตันจะให้เงินอุดหนุน แต่ทรัมป์มองว่าไม่จำเป็นต้องให้เงินอุดหนุน แค่ประกาศออกไปเลยว่าจะเก็บภาษี TSMC ถ้าไม่มาตั้งโรงงานผลิตในอเมริกา”  

  • จีนทำอะไรได้

 จีนต้องทำใจ อาจจะมีการไปตกลงกับอเมริกาเหมือนตอนสงครามการค้าเฟส 1 แต่น่าจะเป็นการซื้อเวลามากกว่า แม้จีนบอกว่าจะไม่ขายสินค้าให้อเมริกา แต่ทำไม่ได้จริง คนซื้อมีอำนาจมากกว่าคนขาย 

แนวคิดของจีนคือ 

1. เล่นในเกมของตนเอง ไม่เล่นในเกมทรัมป์ 

2. เล่นเกมยาว ทำเศรษฐกิจให้รุ่งเรือง หาตลาดใหม่ ไปตลาดฝรั่งไม่ได้ก็ต้องมาทุ่มที่ตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และไทย 

ข้อเท็จจริงของจีนในขณะนี้คือ เศรษฐกิจไม่ดี ฝืดเคือง คนจีนไม่ใช้จ่าย แต่จีนไฮเทค มีดีปซีก และจะมีที่ตามมาอีกมากมายเพราะจีนลงทุนด้านเทคโนโลยีมหาศาล ยุทธศาสตร์ของสี จิ้นผิงคือ นำเงินที่จะไปลงทุนกับอสังหาริมทรัพย์ไปลงทุนกับเทคโนโลยีแทน ภาคอสังหาฯ ล้มระเนระนาดแต่ภาคเทคโนโลยีบูมมาก จีนประกาศเป็นผู้นำด้านพลังงานสะอาด ซึ่งเป็นการปฏิวัติอุตสาหกรรมรอบใหม่ เรียกว่า ยุทธศาสตร์มังกรหยก (Green Dragon Strategy) 

  • ใครชนะในศึกเอไอ 

อาร์มย้ำว่าเอไอต้องใช้พลังงานสะอาดมหาศาล เกมนี้จีนชนะ แต่เอไอต้องใช้ computing power ซึ่งอเมริกามีชิปที่ดีที่สุดอเมริกาชนะ ในชั้น data จีนมีมากที่สุดจีนชนะ ในชั้นโมเดล Generative AI ของอเมริกาดีที่สุด อเมริกาชนะ ในชั้นแอปพลิเคชันจีนชนะ กลายเป็นคำถามว่า ในศึกเอไอใครชนะกันแน่ แต่ดีปซีกช็อกโลกเพราะแสดงให้เห็นว่า แม้จีนไม่มีชิปไฮเทคแต่สามารถใช้ชิปบ้านๆ เทรนด์เอไอให้ฉลาดไม่แพ้ของฝรั่ง โมเดลดีปซีกของจีนฉลาดไม่แพ้ ChatGPT 

  • อนาคตโลกาภิวัตน์

อาร์มมองกรอบการวิเคราะห์เป็นสองช่วงเวลา 

1.  ปี 2001 - 2017 ตั้งแต่จีนเข้า WTO ถึงปีที่ทรัมป์ทำสงครามการค้า 

ตั้งแต่ 2001 จีนกลายเป็นโรงงานโลกทุกคนเข้าไปตั้งโรงงานในจีน ผลิตสินค้าส่งขายทั่วโลกเพราะจีนค่าแรงถูก คนขยัน ซัพพลายเชนพร้อม โครงสร้างพื้นฐานดี ตอบทุกโจทย์ 

ปี 2017 ทรัมป์ทำสงครามการค้าที่โง่มากเพราะอเมริกายังขาดดุลการค้าเหมือนเดิม แต่แทนที่จะเป็นจีนกลับขาดดุลเม็กซิโก เวียดนาม ไทย เมื่อโรงงานย้ายฐานจากจีนมายังประเทศเหล่านี้ จีนเปลี่ยนจาก Made in China เป็น Made by China 

2. ปี 2025 เกิด Globalization 3.0 ทรัมป์เล่นงานทุกประเทศเพื่อให้โรงงานเข้าไปตั้งในอเมริกา แต่เข้าไปแล้วจะไม่ได้ผลิตส่งขายทั่วโลกเพราะไม่มีความได้เปรียบ เป็นการผลิตเพื่อป้อนตลาดภายในเท่านั้น  โรงงานที่เคยมีอยู่ในจีนก็ไม่ปิด ยังผลิตเพื่อป้อนตลาดจีน ส่วนการผลิตเพื่อขายตลาดโลกใช้โรงงานในเวียดนามหรือไทย ถือเป็น Globalization ที่แปลกประหลาดไม่รวมจีนกับสหรัฐซึ่งเป็นตลาดใหญ่สุดของโลก กลายเป็นโลกาภิวัตน์ที่เล็กลง (shrinking globalization) 

"โลกแบบนี้ทั้งจีน และสหรัฐ จนลงแต่ต่างฝ่ายต่างบอกว่าตนแข็งแรงขึ้น เพราะพึ่งพาฝ่ายตรงข้ามน้อยลง ซึ่งสองประเทศทนได้ แต่ที่จะตายหมดคือ ประเทศอื่นๆ ที่เหลือ" นักวิชาการย้ำ  

  • สถานการณ์ไทย 

ไทยเคยได้ประโยชน์จากทรัมป์ 1 ส่งสินค้าออกไปขายอเมริกาได้มากขึ้น โรงงานจีนจ่อแถวมาตั้งในเมืองไทย รอบนี้ไทยส่งไปขายอเมริกาไม่ได้ เดือนเม.ย.ถูกตั้งกำแพงภาษี เมื่อรัฐบาลบอกว่าจะไปเจรจา ก็เหมือนกับการไปประเคนของให้เขาซึ่งก็โดนซัดอยู่ดี 

จากข้อมูลของบีโอไอรอบที่แล้วโรงงานจีนมาต่อคิวเพื่อใช้ไทยเป็นฐานการผลิตส่งไปขายทั่วโลก แต่รอบนี้ใช้ไทยเป็นฐานการผลิตขายไทย และตลาดอาเซียน แถมสินค้าจีนก็ทะลักออกมาแข่งกับไทยในโลกาภิวัตน์ที่เล็กลง เท่ากับว่าไทยถูกซ้ำเติมจากทุกด้าน

 


พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์