มองทะลุพายุฝุ่นของ การสุกเอาเผากิน เห็นอะไรใน สหรัฐอเมริกา

ย่านกรุงวอชิงตันในขณะนี้ เป็นเสมือนมีพายุฝุ่นโหมเข้ามาจากคำสั่งที่หลั่งไหลออกมาทันที หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เสร็จพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งเมื่อ 20 มกราคม
คำสั่งเหล่านั้นล้วนต้องการให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในวงกว้างอย่างทันทีทันใด ส่งผลให้ผู้นำไปปฏิบัติต้องรีบเร่งแบบวิ่งกันวุ่นจนฝุ่นตลบ ฝุ่นยิ่งหนาขึ้นเท่าไรผู้อยู่ภายในฝุ่นยิ่งมองเห็นอะไรไม่ชัดขึ้นเท่านั้น
คำสั่งที่มีผลเฉพาะภายในคงไม่เป็นข่าวในต่างประเทศมากนัก เช่น การปิดสำนักงาน ตัดงบประมาณและปลดพนักงานของรัฐจำนวนมากแบบฟ้าผ่าโดยไม่คำนึงว่าอาจละเมิดกฎหมายและจะมีผลกระทบอย่างไร คำสั่งต่าง ๆ ดูจะวางอยู่บนฐานของการคิดและตัดสินใจแบบสุกเอาเผากิน
ในบางกรณี หลังเวลาผ่านไปแทบไม่ข้ามวัน เขาจึงยกเลิกคำสั่งนั้นและเรียกพนักงานของรัฐกลับเข้าทำงานตามเดิม
ในบางกรณี ศาลสั่งให้ยกเลิกคำสั่งเนื่องจากมันละเมิดกฎหมาย ในบางกรณี นายทรัมป์คงคิดว่าเขาน่าจะขัดคำสั่งศาลได้เพราะเขามีปืนแต่ศาลไม่มี
ในขณะนี้จึงมีกรณีไล่จับชาวเวเนซุเอลาจำนวนมากในสหรัฐส่งไปกักขังยังประเทศเอลซัลวาดอร์ ศาลบอกว่าทำไม่ได้ แต่นายทรัมป์ดูจะเอาหูทวนลม
พฤติกรรมของนายทรัมป์มักถูกตีความว่า เขาต้องการทำลายรัฐธรรมนูญโดยรวบอำนาจส่วนใหญ่ไว้ในมือตน พร้อมกับลดบทบาทของฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายตุลาการ
พฤติกรรมแนวนี้มีค่าเท่ากับเป็นเผด็จการในคราบของประชาธิปไตย ซึ่งระบาดอย่างแพร่หลายอยู่ในหลายภาคส่วนของโลก
ท่ามกลางการออกคำสั่งดังกล่าวเป็นที่ประจักษ์ว่า บรรดามหาเศรษฐีที่ห้อมล้อมนายทรัมป์นำโดยมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลก อีลอน มัสก์ ในพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของเขามีอิทธิพลสูงมาก
ปรากฏการณ์นี้ตอกย้ำแนวโน้มที่ชี้ชัดมานานแล้วว่า ระบอบประชาธิปไตยในสหรัฐมิใช่เป็นแบบ “ของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน” อีกต่อไป แต่ได้กลายเป็นแบบ “ของมหาเศรษฐี โดยมหาเศรษฐี และเพื่อมหาเศรษฐี”
ซึ่งเป็นประชาธิปไตยที่ไร้ความชอบธรรมตามหลักการ คู่แข่งของสหรัฐเช่นจีนและรัสเซียจึงชนะสหรัฐแบบง่ายดายในสงครามอุดมการณ์โดยไม่ต้องทำอะไรโดยเฉพาะไม่ต้องใช้กำลังอาวุธ
คำสั่งที่เป็นข่าวใหญ่ในต่างประเทศ มักเกี่ยวกับประเด็นที่จะมีผลต่อการปรับเปลี่ยนฐานของความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับประเทศอื่น ซึ่งจะมีผลอย่างมีนัยสำคัญต่อการจัดระเบียบโลกอีกครั้ง
หลังสงครามเย็นยุติมากว่า 3 ทศวรรษ ปฏิปักษ์ใหญ่ของสหรัฐซึ่งได้แก่ประเทศที่ใช้ระบบคอมมิวนิสต์ทั้งด้านเศรษฐกิจและด้านการบริหารบ้านเมืองโดยมีสหภาพโซเวียตและจีนเป็นหัวเรือใหญ่
ได้เปลี่ยนระบบเศรษฐกิจมาเป็นแนวตลาดเสรียกเว้นเพียงไม่กี่ประเทศ เช่น เกาหลีเหนือ ส่วนการบริหารบ้านเมืองยังคงความเป็นเผด็จการของระบบคอมมิวนิสต์
การยุติสงครามเย็นส่งผลให้คู่ปฏิปักษ์หันมาเน้นการพัฒนาและค้าขายกันอย่างกว้างขวาง
ผลอันสำคัญยิ่งได้แก่จีนพัฒนาได้ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วจนวันนี้มีขนาดเศรษฐกิจและเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าสหรัฐแล้ว
ความสำเร็จของจีนคงเป็นปัจจัยทำให้นายทรัมป์กลัวจีนจะล้ำหน้าไปกว่าในปัจจุบัน หนทางสำคัญที่จะทำให้จีนพัฒนาช้าลง ได้แก่ การลดความต้องการสินค้าจีนของชาวอเมริกันผ่านการตั้งกำแพงภาษีของสินค้าจีนที่เข้าไปขายในสหรัฐ
แต่นายทรัมป์มิได้หยุดแค่นั้น เขายังออกคำสั่งตั้งกำแพงภาษีสินค้าของประเทศที่เป็นมิตรใกล้ชิดมากอีกด้วยโดยเฉพาะแคนาดาและเม็กซิโก ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านทั้งในด้านภูมิศาสตร์ ที่มีเขตแดนร่วมกัน และด้านการใช้ระบบเศรษฐกิจและการบริหารบ้านเมือง
สองประเทศนี้จะได้รับผลกระทบสูงมาก เนื่องจากสินค้าออกส่วนใหญ่ส่งไปขายให้แก่ชาวอเมริกัน
เท่านั้นยังไม่พอ นายทรัมป์ยังเอ่ยปากว่า แคนาดาน่าจะเป็นรัฐที่ 51 ของประเทศตนพร้อมกับแสดงความประสงค์จะยึดคลองปานามาและเกาะกรีนแลน์มาไว้ในครอบครอง
การแสดงอำนาจบาตรใหญ่ เป็นท่าทีใหม่ของสหรัฐที่ดูจะขาดยุทธศาสตร์พื้นฐานอันแน่นอนนี้จะมีผลกระทบต่อไปอย่างมีนัยสำคัญในด้านการจัดระเบียบโลก
แต่การกระทำของนายทรัมป์จะไร้ผลในด้านการหยุดความก้าวหน้าของจีน ซึ่งรุ่งเรืองมานานหลายพันปีก่อนที่สหรัฐจะอุบัติขึ้น.